วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558
“ชมพู่” ปรับอารมณ์คุย “น็อต” หวั่นทะเลาะบ้านแตก รับหัวหมุนเปลี่ยนสถานที่จัดงานแต่ง
“ชมพู่ อารยา” เผยยิ่งใกล้ถึงวันแต่งงานยิ่งหัวหมุน รับดีเทลเยอะปัญหาจุกจิกเพียบ ลั่นต้องรื้อการ์ดแต่งงานใหม่เหตุเปลี่ยนสถานที่จัดงานแต่ง
เป็นงานแต่งที่หลายคนเฝ้าจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบไหน สำหรับงานวิวาห์ของว่าที่เจ้าสาวหมื่นล้าน “ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต” ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเผยความคืบหน้าในงานเปิดตัวเครื่องสำอางคอลเลคชั่น พิเศษจากลอรีอัล ปารีส ณ สยามพารากอน ยันทุกอย่างยังไม่พร้อมเพราะรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก
“จนถึงวินาทีสุดท้ายชมว่าก็ยังไม่พร้อม ตอนนี้เรียกว่ายุ่ง มาก รายละเอียดมันเยอะกว่าที่คิดมาก ที่บอกว่าเป็นงานแต่งหมื่นล้านก็ไม่ขนาดนั้น(หัวเราะ) เอาเงินไปลงกับเรือนหอกับเพชรดีกว่าไหมค่ะ งานตอนแรกเราคิดว่าดี แล้วแต่มันก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ คุณน็อตเขาค่อนข้างจะเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์หนักกว่าชมอีก บางอย่างเลยต้องมีรื้อบ้าง ซึ่งเวลามันก็เหลือน้อยแล้ว เราเลยต้องทำงานแข่งกับเวลา เราอยากจะทำออกมาให้ดีที่สุด”
“ที่ทำเป็นหนังสือพิมพ์เล่าเรื่องราวของเรา อยากจะทำอะไรออก มาให้ทุกคนสนุก ชมเชื่อว่าทุกคนคงมาร่วมงานของชมหมดไม่ได้ก็ถือว่าเป็นของขวัญอย่างหนึ่งให้ แฟนๆ ที่ติดตามชมมาตลอด บางคนเขาอยากจะร่วมยินดีไปกับวันนั้นของเรา เราก็ทำให้เขาเก็บเป็นที่ระลึก ขำๆ ก็ผลิตออกมาหมื่นฉบับ เรามีทีมงานทำให้ เนื้อหาก็เป็นเรื่องขำๆ เราก็เขียนกันเกินจริง อยากให้ตลกกัน ด้วยความที่ที่ผ่านมาเราโดนเขียนถึงมาตลอด มาวันนี้เราลองกัดตัวเองบ้างดูสิจะเป็นยังไง อ่านกันแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก บันเทิงๆ ภาพก็ใช้เวลาถ่าย 2 วัน แต่จะเป็นคนละเซ็ตกับพรีเวดดิ้ง”
รับหัวหมุน ต้องรื้อการ์ดเชิญใหม่ เหตุเปลี่ยนสถานที่จัดงานแต่งใหม่
“เป็นงานวันที่ 6 พ.ค. พอเราจะทำกันจริงๆ และปรึกษาหลายๆ ฝ่ายแล้วมันจะไม่ได้อย่างที่เราคิดที่เราวางไว้ ก็เพิ่งจะตัดสินใจเปลี่ยนกันเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา ก็เปลี่ยนจากตึกส่วนตัวเป็นที่โรงแรมเพนนินซูล่า เป็นอินดอร์ ตอนนี้เลยต้องมารื้อการ์ดเชิญ มันเลยฉุกละหุกมาก ทีมงานทุกคนก็ช่วยกันรุม”
“หัวหมุนมาก เพื่อนสนิทจริงๆ จะรู้คิวว่าช่วงนี้ใกล้บ้าแล้ว คนไม่รู้ก็จะมาชวนคุย เป็นไง ช่วงนี้ เหนื่อยไหม ยุ่งล่ะสิ เราก็แบบ เออ...ยุ่งมาก มันเครียดเพราะดีเทลมันเยอะกว่าที่เราคิด ซึ่งเรา เองก็ตั้งตัวกันมาประมาณหนึ่งเหมือนกันแต่พอถึงใกล้ๆ วันแล้วอะไรก็ยังไม่พร้อม ดีเทลมันเยอะ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาของความตื่นเต้นเลย มันเป็นเรื่องของสมองในการสั่งงานที่มันยังไม่วาง คนคุมงานส่วนมากจะเป็นคุณน็อต เขาจะยุ่งมากกว่าชมเยอะ มันง่วนมากแล้วจริงๆ เป็นช่วงที่เราต้องระวังคำพูดเป็นพิเศษ เหมือนช่วงเวลาพิสูจน์ตัวเองเพราะว่ามันเครียด ทุกอย่างมันเยอะ ปัญหามีมาให้แก้ตลอด เวลาเราเครียดเราจะเสียงแข็งไม่ได้เลย ถ้าเห็นเบอร์คุณน็อตโทร.มาปุ๊บเสียง 2 ต้องมาทันทีเพื่อจะได้ไม่เพิ่มบรรยากาศกัน”
เชื่อน็อตตื่นเต้นกับงานแต่ง อีกฝ่ายเผยภูมิใจมีแต่คนอยากมาร่วมงานแต่งทั้งนั้น
“ชมว่าคงมีแหละ ฟีดแบ็กที่ได้คือจะมีคนไลน์ มีคนติดต่อมา มาชวนคุยเรื่องนั่นเรื่องนี่งานไปถึงไหนแล้ว จริงๆ ก็คืออย่าลืมเชิญนะ(หัวเราะ) เยอะมาก เขาก็จะมา เล่าอย่างภูมิใจว่าเนี่ยมีคนอยากจะมางานเราทั้งนั้นเลย”
Cr : Manager
วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558
เนปาลยังไม่พ้น! เปิดความเสี่ยง กทม. เจอธรณีพิโรธ
นับว่าเป็นภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2015 เลยทีเดียว สำหรับเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.8 แมกนิจูด ที่ศูนย์กลางอยู่ระหว่างกาฐมาณฑุกับเมืองโพคารา ซึ่งล่าสุด ตัวเลขผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 3 พันรายแล้ว ซึ่งถึงวันนี้ ก็ยังมีการเกิดอาฟเตอร์ช็อกอย่างต่อเนื่อง
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา 2 ท่าน คือ
รศ.ดร.วีระชัย สิริพันธ์วราภรณ์ นักธรณีฟิสิกส์และหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ผศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เหตุใด แผ่นดินไหวใหญ่ ที่เนปาล จึงห่างกันกว่า 80 ปี
รศ.ดร.วีระชัย กล่าวว่า เป็นตัวเลขที่ตอบยากมาก ว่าทำไมเกิดตอนนี้ ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวแต่ละครั้ง รอยเลื่อนจะต้องทำการสะสมพลังงาน เมื่อพลังงานที่สะสมมากพอ มันก็จะปลดปล่อยออกมาในรูปของ "แผ่นดินไหว" โดยเวลาของการสะสมพลังงานนั้นไม่แน่ไม่นอน ไม่มีใครคาดเดาได้
หากมีการปลดปล่อยพลังงาน และเกิดอาฟเตอร์ช็อกไปแล้ว การสะสมพลังงานก็จะกลับมาเหมือนเดิม ค่อยๆ สะสมพลังงานใหม่ การสะสมพลังงานใหม่นั้น จะใช้เวลาเท่าเดิมหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ ตอบไม่ได้
อาฟเตอร์ช็อกจะเกิดอีกนานแค่ไหน
การเกิดอาฟเตอร์ช็อกส่วนใหญ่ จะมีขนาดความรุนแรงลดลง ซึ่งกรณีเนปาลได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.8 ซึ่งอาฟเตอร์ช็อกครั้งใหญ่สุดถึงขณะนี้คือขนาด 6.7 แต่โดยปกติแล้ว การเกิดอาฟเตอร์ช็อกไม่รุนแรงมาก ขนาด 3-4 ก็เกิดอยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว แต่ความเสียหายน้อย ก็เลยไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่อาจจะทำให้มีอาฟเตอร์ช็อกตามมาเป็นเดือนถึง เป็นปี 5 เดือนนับจากนี้ไปก็อาจจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกอยู่ แต่อาจจะนานๆ มาครั้งก็เป็นได้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจาก ม.มหิดล
กล่าวต่อว่า โลกของเราแบ่งเป็นแผ่นเปลือกโลก ซึ่งแผ่นเปลือกโลกมีหลายแผ่น
บางแผ่นขนาดใหญ่มาก บางแผ่นมีขนาดเล็กมาก
บริเวณที่มีแนวโน้มที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่
มักจะอยู่แนวรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกเหล่านี้
ซึ่งมันจะมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างเปลือกโลก 2 แผ่น มีได้ 3 ประเภท
1.แยกห่างออกจากกัน จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็ก มากที่สุดก็จะขนาด 6 แมกนิจูด
2.สไลด์ไถผ่านกันไป มากที่สุด คือขนาด 7 แมกนิจูด
3.แผ่น เปลือกโลกที่ชนกัน ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ซึ่งครั้งใหญ่สุดของโลกคือ ขนาด 9.5 แมกนิจูด เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี เมื่อนานแล้ว
อย่างไรก็ดี การชนกันของแผ่นเปลือกโลกนั้นยังแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
1.แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรชนแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร แบบที่ 2
แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทร ชนเปลือกโลกทวีป และ
3.แผ่นเปลือกโลกทวีปชนแผ่นเปลือกโลกทวีป2.สไลด์ไถผ่านกันไป มากที่สุด คือขนาด 7 แมกนิจูด
3.แผ่น เปลือกโลกที่ชนกัน ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ซึ่งครั้งใหญ่สุดของโลกคือ ขนาด 9.5 แมกนิจูด เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี เมื่อนานแล้ว
"แต่กรณีที่เนปาล เป็นแผ่นเปลือกโลกทวีปชนกับแผ่นเปลือกโลกทวีป ซึ่งก็คือแผ่นเปลือกโลกทวีปอินเดียพุ่งเข้าชนแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ที่เรียกว่ายูเรเชีย เพราะว่าครอบคลุมทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย" รศ.ดร.วีระชัย กล่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนอะไรต่อมนุษย์หรือไม่
โลกเราเกิดแผ่นดินไหวเป็นประจำอยู่แล้ว การเกิดแผ่นดินไหว ขนาด 7.8 ก็เกิดขึ้นอยู่ประจำ แต่สำหรับเนปาล ที่มีความสูญเสียเยอะ เพราะจุดที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้านเรือนประชาชน มีคนอาศัยอยู่มาก กลับกันหากเกิดในพื้นที่ทะเลทราย หรือไร้ผู้คน ก็จะไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย หรือถ้ามีก็ไม่มากอย่างนี้
การเกิดแผ่นดินไหว จะเกิดตรงที่มีรอยเลื่อน ซึ่งประเทศไทยเองก็มีหลายที่ ในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ไล่ตั้งแต่เชียงราย แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี ลงไปถึงทางใต้
รู้ล่วงหน้าเป็นไปได้หรือไม่..?
เป็นไปไม่ได้ เรายังทำนายตัวเราว่าจะเป็นมะเร็งเมื่อไร ยังไม่ได้เลย ดังนั้น เราทำนายไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร แต่เราพอบอกได้ว่าบริเวณตรงไหนมีแนวโน้มว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ญี่ปุ่นเอง รู้อยู่แล้วว่าประเทศเขามีความเสี่ยงเรื่องแผ่นดินไหว เขาก็เลือกที่จะอยู่กับมัน ด้วยการสร้างสิ่งก่อสร้างที่สามารถรับแรงแผ่นดินไหว มีการสอนประชาชนให้รับมือ แต่จะรู้ล่วงหน้าแล้วอพยพก่อน เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
โอกาสเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ กทม.!?
ไทยโดนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุด ก็ปีที่แล้ว คือ ขนาด 6.3 แมกนิจูด ถามว่าแผ่นดินไหวใหญ่กว่านี้เป็นไปได้หรือไม่ คำตอบคือเป็นไปได้ แต่โดยตามสถิติ ถ้าเป็นรอยเลื่อนที่อยู่ภายในแผ่นเปลือกโลก ที่ไม่ใช่รอยต่อ เช่นในประเทศไทย แผ่นดินไหวขนาดเกิน 7.0 ถือว่ายากมาก ถ้าเป็นขนาด 6.0 ก็เป็นไปได้แต่โอกาสเกิดก็ยังต่ำ
"ในอนาคตก็น่าจะเกิดแน่นอน แต่เมื่อไรนั้น ไม่มีใครตอบได้ เราอาจจะตายไปแล้วหลายรุ่นก็เป็นไปได้ เพราะเวลาในทางธรณีวิทยา เป็นเวลาที่ยาวนาน ช่วงชีวิตของมนุษย์ เป็นเสี้ยวเล็กๆ ในทางธรณีวิทยา"
ประเทศไทยมีหลายรอยเลื่อน หากเกิดจริงโอกาสที่กรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบก็มี คือ เกิดที่รอยเลื่อน จ.กาญจนบุรี ซึ่งก็เคยเกิดมาแล้ว ขนาด 5.9 แมกนิจูด ที่เขื่อนศรีนครินทร์ เมื่อประมาณปี 2526 อย่างไรก็ดี ได้มีนักธรณีวิทยาบางคน ก็บอกว่ากรุงเทพฯ มีรอยเลื่อน แต่บางคนก็บอกว่าไม่มี ซึ่งตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ และยังไม่สามารถตอบได้ว่ารอยเลื่อนในกรุงเทพฯ ยังมีพลังอยู่หรือไม่
จากเนปาลถึงไทย ผลกระทบที่ได้รับคือ...
ไม่มีผลกระทบ แต่สำหรับคลื่นแผ่นดินไหว มี 2 ชนิด คือ คลื่นภายใน (Body Wave) เคลื่อนที่ไปได้ทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น เกิดที่เนปาล เครื่องมือวัดคลื่นแผ่นดินไหวที่สหรัฐฯ ก็รู้สึกสั่นได้ ส่วนอีกแบบคือ คลื่นพื้นผิว (surface wave) จะเคลื่อนที่เฉพาะพื้นผิว ซึ่งตัวที่ทำลายล้างก็คือคลื่นตัวนี้ โดยจะเคลื่อนที่ด้วยคลื่นขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง ถ้าห่างไป 500 กม. ก็อาจจะหายไปหมดแล้ว ซึ่งคลื่นตัวนี้มาถึงเมืองไทยด้วย แต่เราอาจจะไม่รู้สึก เพราะจะมีขนาดต่ำมาก เฉพาะเครื่องมือเท่านั้นที่วัดได้
แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งก็เกิดปกติอยู่แล้ว ส่วนที่เรารู้สึกว่าแผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้น เพราะเราเข้าถึงสื่อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เครื่องวัดแผ่นดินไหวก็ทันสมัยขึ้น แต่สิ่งที่เรารู้สึกแตกต่างเพราะ คน สิ่งก่อสร้าง ในสมัยก่อนน้อยกว่านี้ จึงไม่ค่อยรู้สึกถึงความเสียหาย
ตอนนี้ได้มีการวิจัยกันอยู่ว่า แผ่นดินไหวเกิดถี่ขึ้นหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจากสถิติ ก็ดูปกติ เพราะไม่แตกต่างจากในอดีตเลย แผ่นดินไหวทั้งโลกมีเป็นล้านครั้ง แต่เกิดขนาดใหญ่ เช่น 7-8 ก็จะมี 10 ครั้ง ขนาดเกิน 8 แมกนิจูด ก็มี 1-2 ครั้งต่อปี ก็ยังเป็นลักษณะนี้อยู่
"สิ่งที่อยากฝากคือ ประเทศไทยก็เคยเกิดแผ่นดินไหวมาแล้ว ขอให้ประชาชนอย่าตระหนก ควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับแผ่นดินไหว ด้วยการทำความเข้าใจและป้องกัน เตรียมพร้อมก่อนที่จะเกิด เช่น การสร้างบ้านเรือน หรือสิ่งก่อสร้าง ให้มั่นคง เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่เนปาลมากมาย เพราะบ้านเรือนไม่แข็งแรง ขณะเดียวกัน หากเกิดแผ่นดินไหวในขนาดที่เท่ากันเกิดที่ญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิต 2-3 คนก็นับว่ามากแล้ว ดังนั้น ไม่ควรมองเรื่องแผ่นดินไหวเป็นเรื่องไกลตัว" รศ.ดร.วีระชัย กล่าวทิ้งท้าย
ดึงสติคนไทย ไม่ประมาทภัยแผ่นดินไหว
ด้าน ผศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมในเรื่องนี้ว่า สำหรับโอกาสเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยนั้น โอกาสเกิดมีแน่ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไร เพราะเรื่องแผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่พยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่ส่วนสำคัญคือ ข้อมูลที่มี ณ ขณะนี้เกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหวในประเทศไทย ยังมีไม่มาก และคลุมเครือ ซึ่งแตกต่างจากญี่ปุ่น ที่เขาเจอหนักๆ มาบ่อยครั้ง และมีข้อมูลมากมาย นอกจากนี้ คนไทยเองที่ศึกษาเรื่องนี้ก็มีน้อย 10-20 คน จัดสัมมนากันทีไรก็เจอแต่หน้าเก่าๆ
ผศ.ดร.สันติ กล่าวต่อว่า ประเทศญี่ปุ่น เขาใช้วันที่เขาเจอภัยพิบัติหนักๆ ซ้อมภัยแผ่นดินไหว ประเทศไทยเองก็ควรจะมีการซ้อมรับมือด้วย เพราะภัยพิบัติแบบนี้สักวันก็ต้องเกิด โดยจากที่ศึกษาข้อมูลคาดว่า หากเกิดจะหนักที่สุดประมาณ 6-7 แมกนิจูด
Cr : Thairath
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558
งานจบดราม่าผุด! ชาวเน็ตวิจารณ์สนั่น งาน45 ปีช่อง 3 หรืองานคู่จิ้นกันเเน่?!
ผ่านพ้นไปเเล้วท่ามกลางกระเเสดราม่าหลังจบงาน
สำหรับงานมหกรรมครบรอบ 45 ปี ไทยทีวีสีช่อง 3 ความสุขบุกโลก
ที่บรรดาคนบันเทิงยกทัพมาร่วมมอบความสุขให้กับเเฟนคลับเต็ม 8 ชั่วโมงเต็ม ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ความฟินทะลุจอจนทำให้เกิดเเฮชเเท็ก #ความสุขบุกโลก
ติดเทรนด์อันดับ 1 ทวิตเตอร์ลากยาวถึง 2 วันเต็ม
ไล่เรียงมาตั้งเเต่ขบวนพาเหรดและร่วมโชว์เด็ด ๆ จากเหล่านักเเสดง การเเข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างนักเเสดงชาย ปิดท้ายด้วยการพาคู่จิ้นคู่ฟิน ไม่ว่าจะเป็น ณเดชน์-ญาญ่า, เบลล่า- เจมส์จิ, บอย-มาร์กี้, หมาก-คิม, เกรท-แมท และ โป๊ป-มิว มาหวานจี๋จ๋าในสนามให้เเฟนคลับได้ฟินกันสุดๆอีกด้วย
แต่ภายใต้ความสุขก็มักจะมีดราม่าเล็กๆขึ้นมาเสมอ โดยเฉพาะเรื่องกระแสคู่จิ้น ที่ชาวเน็ตบางกลุ่มถึงกับตั้งกระทู้ "งานบอลช่อง3 ช่วงบอลคู่จิ้น น่าเบื่อมากกกกก จัดขึ้นมาเพื่อ" ขึ้นมาวิจารณ์กันเลย เพราะเห็นว่าทางช่องให้ความสำคัญกับคู่จิ้นมากเกินไป จับภาพไปที่คู่จิ้นบ่อยมาก จนทำให้แฟนดาราคนอื่นแทบจะไม่ได้เห็นดาราที่ตนเองชื่นชอบ บวกกับการจัดให้มีการเตะฟุตบอลของคู่จิ้น ที่กินเวลานานเกือบครึ่งชั่วโมงอีก เเถมช่วงท้ายของงานหลังจบการเเข่งขันฟุตบอลยังมีคอนเสิร์ตคู่จิ้นอีก งานนี้แฟนคลับเขาเลยถามว่า นี่มันงานรวมดาราช่อง 3 หรือ คู่จิ้นกันแน่ !!
ซึ่งก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาเเสดงความคิดเห็นโดยบางส่วนก็เห็นด้วยแต่ก็มีบางส่วนที่โต้แย้งโดยบอกว่าที่ช่อง3 จัดช่วงเตะลูกโทษคู่จิ้นขึ้นมา เพราะว่าต้องการเอาใจบรรดาแฟนคลับคู่จิ้นที่มีมาก ซึ่งเเฟนคลับส่วนมากก็มีความสุขที่ได้เห็นคู่ที่ตนเองชอบมามาสร้างความสุขเเบบนี้
Cr : Matichon Online
ไล่เรียงมาตั้งเเต่ขบวนพาเหรดและร่วมโชว์เด็ด ๆ จากเหล่านักเเสดง การเเข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างนักเเสดงชาย ปิดท้ายด้วยการพาคู่จิ้นคู่ฟิน ไม่ว่าจะเป็น ณเดชน์-ญาญ่า, เบลล่า- เจมส์จิ, บอย-มาร์กี้, หมาก-คิม, เกรท-แมท และ โป๊ป-มิว มาหวานจี๋จ๋าในสนามให้เเฟนคลับได้ฟินกันสุดๆอีกด้วย
แต่ภายใต้ความสุขก็มักจะมีดราม่าเล็กๆขึ้นมาเสมอ โดยเฉพาะเรื่องกระแสคู่จิ้น ที่ชาวเน็ตบางกลุ่มถึงกับตั้งกระทู้ "งานบอลช่อง3 ช่วงบอลคู่จิ้น น่าเบื่อมากกกกก จัดขึ้นมาเพื่อ" ขึ้นมาวิจารณ์กันเลย เพราะเห็นว่าทางช่องให้ความสำคัญกับคู่จิ้นมากเกินไป จับภาพไปที่คู่จิ้นบ่อยมาก จนทำให้แฟนดาราคนอื่นแทบจะไม่ได้เห็นดาราที่ตนเองชื่นชอบ บวกกับการจัดให้มีการเตะฟุตบอลของคู่จิ้น ที่กินเวลานานเกือบครึ่งชั่วโมงอีก เเถมช่วงท้ายของงานหลังจบการเเข่งขันฟุตบอลยังมีคอนเสิร์ตคู่จิ้นอีก งานนี้แฟนคลับเขาเลยถามว่า นี่มันงานรวมดาราช่อง 3 หรือ คู่จิ้นกันแน่ !!
"มีแต่คู่จิ้น บ้าบอคอแตก อีกหน่อย งานบอลจะไม่มีแฟนช่องทั่วๆไป ก็จะมีแต่แฟนคลับและแฟนคู่จิ้นกะหรอมกะแหรม
แฟนช่องกับคนทั่วๆไปคงไม่มีใครอยากเข้าไปดูอีก
ปีนี้จัดได้ห่วยมาก กล้องก็จับอะไรมั่วซั่วไปหมด เหมือนไม่ได้เตรียมการมา
ถ้าเปรียบกับปีที่ผ่านๆมา ปีนี้ห่วยแตกที่สุด ทั้งพิธีกร กล้อง และการแทรกคู่จิ้น
จงอยู่แต่ในกะลาต่อไป ถ้าพอใจหรือยินดีกับแค่เสียงในนี้ ก็ตามสบายเถอะ
ไม่เหลือแล้วคำว่า พลังประชาชน นี่มันพลังแฟนคลับ แฟนคู่จิ้น ของดาราไม่กี่คนไม่กี่คู่ดาราคุณมีล้นช่อง ไม่ต้องคู่จิ้นเค้าก็ทำให้ละครคุณดังได้ มันมีองค์ประกอบหลายส่วน ถ้าเน้นคู่จิ้น อีกหน่อยก็คงมีแต่แฟนคู่จิ้นเท่านั้นแหละที่ดูช่องคุณ
บอกไว้เลย ช่องเดินเกมส์พลาดมาก เฟลสุดๆกับนโยบายแบบนี้
ธรัมบ์ดาวน์"
ซึ่งก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาเเสดงความคิดเห็นโดยบางส่วนก็เห็นด้วยแต่ก็มีบางส่วนที่โต้แย้งโดยบอกว่าที่ช่อง3 จัดช่วงเตะลูกโทษคู่จิ้นขึ้นมา เพราะว่าต้องการเอาใจบรรดาแฟนคลับคู่จิ้นที่มีมาก ซึ่งเเฟนคลับส่วนมากก็มีความสุขที่ได้เห็นคู่ที่ตนเองชอบมามาสร้างความสุขเเบบนี้
Cr : Matichon Online
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558
เต็มอิ่มครั้งแรก!! ครอบครัวอบอุ่นน่ารัก “คุณพลอยไพลิน เจนเซน”
หายหน้าหายตาไปนานจากประเทศไทย ในที่สุด “คุณพลอยไพลิน เจนเซน” พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ก็กลับมาเผยโฉมให้คนไทยได้หายคิดถึงอีกครั้ง โดยคราวนี้ไม่ได้มาคนเดียวนะคะ แต่มาพร้อมกับสามี “คุณเดวิด วีเลอร์” และลูกชายวัยซนทั้งสอง “น้องแม็กซ์” วัย 4 ขวบ และ “น้องลีโอ” วัยขวบเศษ
แม้จะเป็นคุณแม่ลูกสองแล้วก็ตาม แต่ “คุณพลอยไพลิน” ก็ยังดูใสปิ๊งเหมือนสาวแรกรุ่นไม่เปลี่ยนแปลงเลย แถมใจดีเปิดใจให้สัมภาษณ์นิตยสารพลอยแกมเพชร ฉบับต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้แฟนๆได้อัพเดตตามติดชีวิตราชนิกุลขวัญใจคนไทยอย่างใกล้ชิด
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558
น้ำยาย้อมผมปิดผมขาวยี่ห้อไหนดี ต้องนี่ 7 น้ำยาย้อมผมปิดผมขาว ที่คนผมหงอกปลื้ม
น้ำยาย้อมผมปิดผมขาวยี่ห้อไหนดี วันนี้ได้นำ 7 ตัวนี้มาบอกต่อสาว ๆ แล้ว รับรองว่าปิดผมหงอกได้เนียนสนิทเลยแหละ
รู้นะว่าสาว ๆ หลายคนก็หนักอกหนักใจ เวลาที่ผมหงอกดันโผล่ขึ้นมาเพียบ ถึงแม้จะยังอายุไม่เยอะมาก แต่ผมหงอกก็ขึ้นได้จากหลาย ๆ ปัจจัยนะคะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้องคอยใส่หมวกหรือเอามือปกปิดเพราะความอาย ลองมาเลือกน้ำยาย้อมผมปิดผมขาว 7 ตัวนี้ไปใช้กันเถอะ คนผมหงอกปลื้มมาก ๆ
Bigen One Push
เพิ่งออกมาให้ลองใช้กันหมาด ๆ แต่ได้เสียงตอบรับดีทีเดียว เพราะเจ้าตัวนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ปิดผมขาวได้ง่ายและสะดวกสุด ๆ แค่กด หวี ทิ้งไว้ 30 นาที แค่นี้ก็เรียบร้อย ส่วนถ้าครีมยังใช้ไม่หมดก็เก็บไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย
ภาพจาก : audace-lauris.com
Audace Color Cream
ถึงไม่มีเวลามากก็ไม่ใช่ปัญหาในการปิดผมหงอก เพราะน้ำยาย้อมผมปิดผมขาวตัวนี้ สามารถปกปิดผมขาวได้รวดเร็วแค่ 5 นาที แถมยังให้สีผมที่เป็นธรรมชาติและมอบความเงางามให้ด้วย เริดแบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว
Garnier Olia
น้ำยาย้อมผมปิดผมขาวที่ปราศจากแอมโมเนีย ซึ่งจะไม่ทำให้ผมและหนังศีรษะแห้งเสีย ซึ่งมีข้อดียิ่งไปกว่านั้นก็คือปิดผมขาวได้เนียนสนิทและติดทนนานด้วย ตัวนี้คนผมหงอกปลื้มกันมาก ๆ เลยแหละ
ภาพจาก : lorealparisusa.com
Loreal Excellence Cream
ถ้าไม่อยากให้ผมดูแห้งเสียไร้ชีวิตชีวาเพราะใช้น้ำยาย้อมสีผมปกปิดผมขาวละก็ แนะนำให้เป็นตัวนี้เลยค่ะ เพราะเจ้าตัวนี้มีโปร-เคราตินช่วยปกป้องเส้นผมและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ ด้วย ที่สำคัญคือปิดผมขาวได้เนียนสนิทเลย
ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Schwarzkopf
Schwarzkopf Natural & Easy
น้ำยาย้อมผมตัวนี้ ทางแบรนด์เปรยมาเลยว่าเป็นน้ำยาปิดผมขาวระดับพรีเมี่ยม ที่สามารถปิดผมขาวได้แนบสนิท 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคือสียังติดทนนานไม่ต้องทำบ่อย ๆ และไม่มีแอมโมเนียที่จะไม่ทำร้ายผมและหนังศีรษะแน่นอน
ภาพจาก : lolane.com
Lolane Cool & Easy Color Cream
น้ำยาย้อมผมรุ่นนี้ มีเฉดสีสำหรับปิดผมขาวให้เลือกโดยเฉพาะ ซึ่งในตัวน้ำยาจะมีส่วมผสมของคอนดิชันเนอร์ที่ช่วยบำรุงและปิดผมขาวได้ดีติด ทนนานด้วย
ภาพจาก : kao.com
Liese Blaune
ถ้าต้องการการปิดผมขาวอย่างแนบสนิทและอยากให้บำรุงให้ผมดูนุ่มสลวยด้วย ก็ลองเลือกน้ำยาย้อมผมตัวนี้ไปใช้ด่วน เพราะตัวนี้เป็นน้ำยาย้อมผมที่ผสมทรีทเม้นท์ ที่จะช่วยบำรุงล้ำลึกและปิดผมขาวได้อย่างแนบสนิทในคราวเดียว
ถึง แม้ว่าน้ำยาย้อมผมจะช่วยบำรุงเส้นผมของคุณได้ แต่ยังไงซะก็ต้องคอยบำรุงด้วยทรีทเม้นท์หลังสระหรือด้วยน้ำมันต่าง ๆ เป็นประจำนะคะ ^_^
รู้นะว่าสาว ๆ หลายคนก็หนักอกหนักใจ เวลาที่ผมหงอกดันโผล่ขึ้นมาเพียบ ถึงแม้จะยังอายุไม่เยอะมาก แต่ผมหงอกก็ขึ้นได้จากหลาย ๆ ปัจจัยนะคะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากต้องคอยใส่หมวกหรือเอามือปกปิดเพราะความอาย ลองมาเลือกน้ำยาย้อมผมปิดผมขาว 7 ตัวนี้ไปใช้กันเถอะ คนผมหงอกปลื้มมาก ๆ
ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Bigen Thailand
Bigen One Push
เพิ่งออกมาให้ลองใช้กันหมาด ๆ แต่ได้เสียงตอบรับดีทีเดียว เพราะเจ้าตัวนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยให้ปิดผมขาวได้ง่ายและสะดวกสุด ๆ แค่กด หวี ทิ้งไว้ 30 นาที แค่นี้ก็เรียบร้อย ส่วนถ้าครีมยังใช้ไม่หมดก็เก็บไว้ใช้ในครั้งต่อไปได้ด้วย
ภาพจาก : audace-lauris.com
Audace Color Cream
ถึงไม่มีเวลามากก็ไม่ใช่ปัญหาในการปิดผมหงอก เพราะน้ำยาย้อมผมปิดผมขาวตัวนี้ สามารถปกปิดผมขาวได้รวดเร็วแค่ 5 นาที แถมยังให้สีผมที่เป็นธรรมชาติและมอบความเงางามให้ด้วย เริดแบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว
ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Garnier Thailand
Garnier Olia
น้ำยาย้อมผมปิดผมขาวที่ปราศจากแอมโมเนีย ซึ่งจะไม่ทำให้ผมและหนังศีรษะแห้งเสีย ซึ่งมีข้อดียิ่งไปกว่านั้นก็คือปิดผมขาวได้เนียนสนิทและติดทนนานด้วย ตัวนี้คนผมหงอกปลื้มกันมาก ๆ เลยแหละ
ภาพจาก : lorealparisusa.com
Loreal Excellence Cream
ถ้าไม่อยากให้ผมดูแห้งเสียไร้ชีวิตชีวาเพราะใช้น้ำยาย้อมสีผมปกปิดผมขาวละก็ แนะนำให้เป็นตัวนี้เลยค่ะ เพราะเจ้าตัวนี้มีโปร-เคราตินช่วยปกป้องเส้นผมและเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ ด้วย ที่สำคัญคือปิดผมขาวได้เนียนสนิทเลย
ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Schwarzkopf
Schwarzkopf Natural & Easy
น้ำยาย้อมผมตัวนี้ ทางแบรนด์เปรยมาเลยว่าเป็นน้ำยาปิดผมขาวระดับพรีเมี่ยม ที่สามารถปิดผมขาวได้แนบสนิท 100 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคือสียังติดทนนานไม่ต้องทำบ่อย ๆ และไม่มีแอมโมเนียที่จะไม่ทำร้ายผมและหนังศีรษะแน่นอน
ภาพจาก : lolane.com
Lolane Cool & Easy Color Cream
น้ำยาย้อมผมรุ่นนี้ มีเฉดสีสำหรับปิดผมขาวให้เลือกโดยเฉพาะ ซึ่งในตัวน้ำยาจะมีส่วมผสมของคอนดิชันเนอร์ที่ช่วยบำรุงและปิดผมขาวได้ดีติด ทนนานด้วย
ภาพจาก : kao.com
Liese Blaune
ถ้าต้องการการปิดผมขาวอย่างแนบสนิทและอยากให้บำรุงให้ผมดูนุ่มสลวยด้วย ก็ลองเลือกน้ำยาย้อมผมตัวนี้ไปใช้ด่วน เพราะตัวนี้เป็นน้ำยาย้อมผมที่ผสมทรีทเม้นท์ ที่จะช่วยบำรุงล้ำลึกและปิดผมขาวได้อย่างแนบสนิทในคราวเดียว
ถึง แม้ว่าน้ำยาย้อมผมจะช่วยบำรุงเส้นผมของคุณได้ แต่ยังไงซะก็ต้องคอยบำรุงด้วยทรีทเม้นท์หลังสระหรือด้วยน้ำมันต่าง ๆ เป็นประจำนะคะ ^_^
ป้ายกำกับ:
น้ำยาปิดผมขาว,
น้ำยาย้อมผม,
ผมหงอก,
Audace,
Bigen,
Garnier Olia,
Liese,
Lolane,
Loreal,
Schwarzkopf
วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558
“หนูอิมอิม” เผยแล้ว ถึงเวลาลากไส้คนเคยรัก
จากกรณีที่วานนี้(21 เมษายน 2558) “หนูอิมอิม ก้าวมหัศาจรรย์” ได้นัดสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวเปิดใจประกาศเลิกรากับแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจมา 2 ปี ด้วยอาการน้ำตานองหน้า โดยยังไม่ระบุว่าหนุ่มคนดังกล่าวเป็นใคร และเหตุผลที่แท้จริงในการเลิกรากันเป็นเพราะอะไร ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (22 เมษายน) เจ้าตัวได้ออกมาแฉสิ้นไส้ในรายการ “ปากโป้ง” ช่อง 8 ระบุว่าถูกอดีตคนรักหักหลัง ทั้งที่ตนหวังดีมาตลอด
“เรื่องที่เกิดขึ้นยอมรับว่าเป็นสิ่งที่หนักมากหนักสุดๆ กว่าทุกครั้ง เพราะ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เตรียมตัวเตรียมความพร้อมรับไม่ทันจริงๆ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเรามัวทำแต่งานพอมาเจอแบบนี้เลยรู้สึกรับตัวเอง ไม่ได้ทำเอาช็อกไปเลย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นถ้าย้อนกลับไปที่แฟนคนเก่าก็มีลักษณะคล้ายๆ กันทั้งบุคลิกการพูดจาแต่สุดท้ายก็หลอกเราเหมือนเดิม แต่กับแฟนคนเก่าเรื่องของเงินก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้วเพราะเขาเอาเงินมาคืน หมดแล้วก็จบกันด้วยดี"
“กับแฟนคนที่เพิ่งประกาศเลิกกันนั้นเริ่มรู้จักกันนานแล้วเริ่มจาก ตอนนั้นหนูทำธุรกิจขายเคสต์มือถือในอินสตาแกรมแล้วเขาก็เข้ามาเป็นลูกค้าก็ เลยทำได้มีโอกาสรู้จักกัน จากนั้นก็ได้คุยกันมาเรื่อยๆ ตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นนักแสดงหน้าใหม่จนคุยกันและก็จีบกันตลอดบวก กับตอนนั้นเราโสดด้วยยอมรับว่าอยากมีแฟนเลยตัดสินใจคบกันเป็นแฟน เลยรู้ว่าเขาก็เป็นนักแสดงด้วยเหมือนกัน”
“แต่หลังจากที่ตัดสินใจคบกันได้สักพักเขาบอกว่าเราไม่สามารถที่จะ เปิดตัวเราเป็นแฟนได้นะ เพราะทางต้นสังกัดเขาจะปั้นเขาเป็นพระเอกเลยไม่สามารถที่จะเปิดตัวหนูได้ว่า เป็นแฟน ซึ่งตอนนั้นหนูคิดว่ามันเป็นเพราะอะไรมันยุคสมัยใหม่แล้ว พระเอกดังหลายคนเขาประกาศว่าตอนนี้มีแฟนยังไม่เห็นมีผลกระทบอะไรเลย แต่ หนูบอกว่าหนูไม่ปิดนะเพราะเราเป็นคนเปิดเผยแต่อาจจะไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร จากนั้นไม่นานเขามาบอกกับเราว่าตอนนี้ทางต้นสังกัดไม่พอใจอิมมาก เพราะอิมเป็นคนนักแสดงโลว์ทำให้เขาดูแย่ พอเราได้ยินก็เลยรู้สึกว่าเราแย่ขนานนั้นเลยหรือ และได้มีโอกาสไปเจอแม่อิมแม่ก็เตือนว่าอย่าคบกับผู้ชายคนนี้เลยเพราะเขาจะ เหยียบเราติดดิน”
“ซึ่งก็ไม่เชื่อแม่เพราะเรารักเขา พยายามจะเปลี่ยนเขาให้ได้ เลยแนะนำให้เขาไปบวชเผื่อจะมีอะไรดีขึ้น ซึ่งเขาก็ยอมไปบวช 15 วัน หลังจากที่สึกออกมาทางต้นสังกัดเขาขอยกเลิกสัญญาของเขาบอกว่าไปทำเรื่องมา กลัวจะเสื่อมเสีย เลยทำให้หนูคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะว่าเราหรือเปล่า”
เผยชวนมาทำรายการ สอนขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง แต่กลับมาโกหกหลอกลวงหวังบีบให้ออกจากรายการที่ปั้นมากับมือ
“ต่อมาหนูก็ทำรายการเกี่ยวกับท่องเที่ยวเลยดึงเขาเข้ามาทำงานด้วย สอน เขาตั้งแต่การทำแผนเสนอรายการ พาไปพบลูกค้าเพื่อเสนองาน พาไปช่องเพื่อคุยงาน สอนเขาทุกอย่างจนเค้าสามารถทำแทนเราได้ อิมไปทำงานตรงอื่นต่อเพราะไว้ใจแล้ว จนไม่นานเขามาบอกว่าตอนนี้ทางช่องไม่ต้องการให้อิมเป็นพิธีกรรายการนี้แล้วเพราะหน้าไม่ชัดเจนกับเรื่องของท่องเที่ยว"
“ตอนนั้นงงเหมือนกันว่าหน้าเราไม่ตรงกับท่องเที่ยวอย่างไงเพราะเราก็ ทำอยู่ตั้งหลายรายการ จบจากเรื่องช่องเขาก็มาบอกอีกว่าตอนนี้ลูกค้าจะไม่อยากให้เราเป็นพิธีกรแล้ว อีก เขาบอกลูกค้าต้องการเขาคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นอิมยังถามเขาเลยว่าลูกค้าไม่รู้หรือว่ารายการนี้อิมเป็นเจ้าของอิม รู้สึกแย่มากเลยตัดสินใจเข้าไปคุยกับช่องว่าไม่อยากได้เราเป็นพิธีกรแล้ว หรือ ซึ่งคำตอบที่ได้จากช่องคือช่องบอกว่าไม่เคยบอกเลย ถ้าเราทำดีหรือว่าไม่ดีจะมีหนังสือเตือนไป ไม่ใช่บอกแบบนี้”
“อิมโทร.ไปหาลูกค้าที่จะตัดเราออกจากรายการลูกค้าบอกว่าไม่เคยพูดเหมือนกัน เลย ทำให้อิมเริ่มรู้สึกว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไร คนที่เรารักทำไมเขาทำกับเราแบบนี้ จนตอนหลังอิมก็รู้อะไรหลายอย่างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเขาไม่ได้โกงเราแต่เขา ต้องการจะบีบเราออกจากรายการที่เป็นของเราเอง เพื่อผลประโยชน์บางสิ่งบางอย่างของตัวเขา”
สุดช็อกถูกบอกเลิกต่อหน้าแม่ ฝ่ายชายบอกเลิกรักนานแล้ว
“ตอนหลังเขามาบอกกับอิมว่าเขาไม่ได้รักเราเป็นปีแล้วเขาบอกต่อหน้าแม่ของอิมด้วย เลย ทำให้เรารู้สึกเสียใจมากว่าทำกับเราแบบนี้ได้อย่างไร เรารักเขาหวังดีกับเขาทุกอย่างแล้วทำไมต้องทำแบบนี้กับเราซึ่งเลยทำให้อิม ถึงกับช็อกกับเรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งที่อิมออกมาพูดไม่ได้ต้องการให้คนเห็นใจไม่ต้องสงสาร อิมล้มแล้วเดียวลุกขึ้นมายืนได้แต่ขอเวลาสักพัก แต่สิ่งที่อยากจะ บอกกับทุกคนรวมถึงสังคมว่าจากนี้ไปอิมกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ร่วมถึงเรื่องของธุรกิจก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ถ้าเขาจะเอาชื่อของอิมไปทำอะไรขอบอกเลยว่าไม่เกี่ยวข้องกันตัดขาดกันทุกสิ่ง ต่างคนต่างอยู่ และอิมก็พร้อมที่จะเคลียร์เงินทุกอย่างเพื่อจะได้จบสิ้นต่อกัน”
Cr : Manager Online
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
'แช่แข็งศพ' โรคร้ายต้องรักษาได้ 'ไครออนิกส์' เทคโนโลยีชุบชีวิตแห่งอนาคต!?
หลังจากเว็บไซต์เมโทร ประเทศอังกฤษ เผยแพร่เรื่องราวของ น้องไอนส์ - ด.ญ.เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ เด็กหญิงชาวไทยวัย 2 ขวบ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง จากนั้นทางพ่อแม่ซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่ ตัดสินใจนำร่างของเธอไปแช่แข็งที่ห้องเย็นของมูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น (Alcor Life Extension Foundation) ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยและถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ตามข้อมูลเปิดเผยว่าเทคโนโลยีไครออนิกส์ คือกระบวนการเก็บศพไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ โดยหวังว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอนาคตจะปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ทางด้าน ดร.สหธรณ์ เนาวรัตน์พงษ์ พ่อของน้องไอนส์ให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ข่าวสด ความว่า
“ตนต้องการเอาชนะความตายด้านชีววิทยา ซึ่งในสังคมไทยอาจจะยังไม่เข้าใจหรือมีความเชื่ออีกแบบซึ่งก็ยอมรับ เพราะนับถือศาสนาพุทธคนหนึ่ง แต่ไม่ต้องการให้น้องไอนส์ตายเป็นขี้เถ้าไปโดยสูญเปล่า และการจะฟื้นกลับมาของลูกไม่ได้เป็นความเข้าใจแบบเส้นตรงทีเดียว ยังมีความซับซ้อนมีเงื่อนไขจำนวนมาก เมื่อมีความตั้งใจที่จะเอาชนะโรคมะเร็งซึ่งเป็นภัยคุกคาม อันดับต้นๆ ของสังคมไทย จึงอยากให้กรณีของลูกสาวเป็นกรณีศึกษา รวมไปถึงชีวิตของเด็กคนอื่นๆ ด้วยที่จะได้มีโอกาสหายจากโรคมะเร็ง ซึ่งตนมีความหวังมาก”
โดยมีค่าใช้จ่ายในการแช่แข็งลูกด้วยกระบวนการไครออนิกส์ ประมาณ 220,000 ดอลลาร์สหรัฐ
อ้างอิงบทความเรื่อง 'ไครออนิกส์ - Cryonics แช่แข็งมนุษย์รอวันคืนชีพ' เปิดเผยข้อมูลจากหนังสือ the Prospect of Immortalitty เขียนโดย โรเบิร์ต ซี. ดับเบิลยู. เอ็ตทิงเกอร์ บิดาแห่งไครออนิกส์ ศาสตร์แขนงหนึ่งในวิชาฟิสิกส์ เปิดกระบวนการแช่แข็งมนุษย์ ความว่า นำเอาร่างกายหรืออวัยวะของมนุษย์และสัตว์ไปแช่ใน ไนโตรเจนเหลว ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส เหมือนกับฝากธนาคารเอาไว้จนกว่าวิทยาการในอนาคตจะก้าวหน้าพอสำหรับการโคลน นิ่งร่างใหม่จากเซลล์เดิม รวมถึงสร้างร่างจักรกลแบบไซบอร์ก หรือร่างเทียมแบบแอนดรอยด์ เมื่อถึงวันนั้นเราจะฟื้นขึ้นมาเป็นคนเดิมในร่างใหม่ เอี่ยมได้ไม่รู้จบ
ปัจจุบัน มูลนิธิเพื่อชีวิต อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น มีร่างคนไข้อยู่ 134 คนที่ถูกแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวภายใต้อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส โดยมีนักเบสบอลดาวรุ่ง เท็ด วิลเลียมส์ และจอห์น เฮนรี วิลเลียมส์ ลูกชายรวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งน้องไอนส์จัดเป็นร่างที่อายุน้อยที่สุด
Cr : Manager Online
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558
มาโกโตะ โดนหนังไทย ฟินสุโค่ย เบี้ยวค่าตัว ประกาศทวงเงินผ่านทวิตเตอร์ - IG
มาโกโตะ นักร้อง - นักแสดงชาวญี่ปุ่น โดนเบี้ยวค่าตัวจากการแสดงหนังเรื่อง ฟินสุโค่ย เลยประกาศออกโซเชียลมีเดียเป็นภาษาไทย ทวงเงินข้ามประเทศกันหน้าชาไปเลย
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2558 เกิดดราม่าหนักกลางดึก เมื่อมาโกโตะ นักร้องนำจากวง ลูซิเฟอร์ และนักแสดงเจ้าบทบาทชาวญี่ปุ่น ประกาศทวงเงินข้ามประเทศ จากการแสดงหนังเรื่อง เลิฟสุดจิ้น ฟินสุโค่ย แต่กลับไม่ได้รับค่าตัวอย่างที่ตกลงกันตามสัญญา
Miss Phakkamon Wittatarangsakul
Miss Punyanush Voranitiphong จากบริษัท Fin Project กรุณาจ่ายเงินค่าตัวในการแสดงภาพยนตร์เรื่อง ฟินสุโค่ย ตามสัญญาด้วยนะครับ จาก K- Project”
นอกจากนี้ มาโกโตะ ยังได้นำข้อความดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในอินสตาแกรม และทำให้มีคนมากดไลค์และรีทวีตเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลาย ๆ คน ก็ได้เข้ามาให้กำลังใจมาโกโตะ และบางคนก็บอกว่า คนไทยทำแบบนี้ ทำเอาคนไทยคนอื่นอายหน้าชากันเลยทีเดียว
Cr : Kapook
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558
เพิ่มสมดุลในชีวิตของคนวันทำงาน
ชีวิตของคนทำงานปัจจุบันต้องเร่งรีบและแข่งขันกันสูง
เพราะอยู่ในวัยกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างอนาคต เรียกว่าทำงานหนักกันจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารการกินที่แต่ละวันได้ทานแต่อาหารสำเร็จรูปคุณภาพต่ำ
และเวลาไปออกกำลังกายเพื่อฟิตร่างกายและจิตใจ สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเกิดภาวะ
"ภูมิคุ้มกันไม่สมดุล" ซึ่งเป็นสาเหตุก่อโรคและปัญหาสุขภาพตามมามากมาย อาทิ โรคออฟฟิศซินโดรม โรคอ้วน
โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธาน และกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้ค้นคิดวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล จากสารสกัดธรรมชาติ กล่าวว่า ในร่างกายของคนเรามีเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 20,000-55,000 ล้านเม็ด ถือเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่มากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้เรา เพื่อหน้าที่ปรับภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุล ดังนั้น คนวัยทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการปรับภูมิคุ้ม กันให้สมดุลเพื่อป้องกันร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยโดยแนะนำวิธีเพิ่มภูมิ คุ้มกันที่ทุกคนก็สามารถทำได้ดังนี้
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการใช้อาหารเป็นยา
ย้อนกลับไปเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ฮิปโปเครติส นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า "จงให้อาหารเป็นยาของท่าน" แต่สำหรับคนวัยทำงานสมัยนี้ที่มักเลือกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก แซนด์วิช พาย พิชซ่า เป็นต้น ด้วยความที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลาเหมาะชีวิตเร่งด่วนของคนทำงาน การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำย่อมไม่ใช่เรื่องดีเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคนานาชนิด
การดูแลสุขภาพด้วยแนวคิด"ภูมิสมดุล"(BIM : Balancing Immunity) จากสารสกัดพืช 5 ชนิดนับเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพเพราะพิสูจน์ได้ว่า การใช้อาหารเป็นยาสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุลได้ อันเป็นผลจากความทุ่มเทศึกษาวิจัยพืชสกุลมังคุดและอื่น ๆ ยาวนานเกือบ 40 ปี จนค้นพบสารสกัด GM-1 จากมังคุดที่มีประสิทธิภาพในการต้านอาการอักเสบและระงับปวดได้ดีว่าแอสไพรินถึง 3 เท่า และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อมะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สารสกัดธัญพืชและผลไม้ 5 ชนิด คือ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง บัวบก และฝรั่ง ยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง โดยสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด Th1 เพิ่มขึ้น ทำหน้าที่ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงเม็ดเลือดขาวชนิด Th17 ที่ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตามมา และยังช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการพักผ่อนเพียงพอ
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแกร่งโดยปกติคนเราต้องใช้เวลาประมาณ1ใน 3 ของแต่ละวันกับการนอนหลับจึงจะถือว่าพักผ่อนเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง อวัยวะที่สึกหรอ และยังปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ระหว่างที่เรานอนหลับร่างกายยังจะมีหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมา ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต และยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับให้เป็นไปอย่างปกติอีกด้วย ดังนั้น หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดต่ำลง
ที่ สำคัญที่สุด เราควรจัดเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา โดยคนเราควรนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม สำหรับคนทำงานที่นอนหลับไม่เพียงพอก็ควรหาเวลางีบหลับสั้นๆ 10-20 นาที ระหว่างเวลา 13.00-16.00 น. จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและรู้สึกตื่นตัว ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นและบางประเทศในโลกตะวันตกมักจะสนับสนุนให้พนักงานใน องค์กรงีบหลับหลังอาหารกลางวันได้เป็นเวลาไม่เกิน30นาทีในห้องประชุมที่มีไฟ มืดโดยให้นั่งหลับซบกับหมอนโค้งรอบคอหรือหมอนที่มีรูปร่างคล้ายห่วงยางเล่น น้ำ ผลปรากฏว่าพนักงานรู้สึกสดชื่นพร้อมเริ่มทำงานในช่วงบ่ายด้วยความกระตือ รือร้นมากขึ้น
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการออกกำลังกาย
เราควรจะออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย3-5วันต่อสัปดาห์ซึ่งไม่เพียงช่วยให้หัวใจแข็งแรง ระบบไหลเวียนเลือดยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหัวใจล้มเหลว และการเกิดโรคต่างๆ น้อยลง โดยการออกกำลังกายนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1.แบบแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย มีลักษณะการออกกำลังที่ไม่รุนแรงมากนักแต่มีความต่อเนื่อง เช่น การเดินวิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้น สำหรับคนวัยทำงานที่ไม่มีเวลา ขอแนะนำวิธีการออกกำลังง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขนไปข้างหน้าเบาๆ ทำมุม 60 องศากับลำตัวพร้อมกับหายใจเข้า แล้วปล่อยกลับมาข้างหลังจึงหายใจออก ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยครั้งละ 10 นาที และใน 1 วัน ควรทำรวมกันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หากทำติดต่อกันได้ 45 วัน ก็จะเห็นผลลัพธ์ตามต้องการ
2.แบบแอนแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยไม่อาศัยออกซิเจน แต่จะอาศัยสารเคมีในร่างกายแทน มีลักษณะการออกกำลังที่ต้องใช้แรงมาก เช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น จึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ บริหารปอดและหัวใจ เสริมสร้างสมรรถนะร่างกายให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ รูปแบบการออกกำลังกายที่จะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ การออกกำลังที่ทำให้หัวใจเต้นหรือมีค่าชีพจรระหว่าง 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งในแต่จะบุคคลมีค่าแตกต่างกันคำนวนโดยใช้เลข 220-อายุ (ปี) เพื่อที่จะได้รู้ว่าเมื่อออกกำลังกาย ชีพจรของเราควรเต้นประมาณกี่ครั้งต่อนาที แต่บางครั้งการจับชีพจรขณะออกกำลังกายอาจทำได้ไม่สะดวก ก็สามารถใช้วิธีสังเกตความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนได้
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยสมาธิ
ใน ยุคนี้การฝึกสมาธิได้กลายเป็นเทรนด์สุดฮิตของผู้คนทุกเพศทุกวัยเนื่องจากมี การพิสูจน์แล้วว่าการฝึกสมาธิส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจเพราะมีส่วนช่วย เพิ่มระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินในร่างกายซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้านอนไม่ หลับ และปวดศีรษะ ส่งผลให้คนที่ฝึกสมาธิมีพฤติกรรมและอารมณ์ดีขึ้น
ผู้ฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ควรลองนั่งแค่ 5-15 นาทีก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40 นาทีหรือนานกว่านี้ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจปรับตัวไปทีละน้อย เมื่อนั่งไปแล้วหากปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยขยับเปลี่ยนท่า เพราะทุกครั้งที่เราขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้จิตกวัดแกว่ง สมาธิเคลื่อนได้ โดยปกติแล้วหากเราสามารถทนไปได้จนถึงระดับหนึ่ง อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง นอกจากนี้ การทำสมาธินั้นยังช่วยให้จิตใจสงบและมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่หลงวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีตและอนาคต การเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยวิธีนี้เป็นการสิ่งทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องลงทุนสูงแต่ให้ผลลัพธ์มหาศาล
การที่มีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่คนทุกคนปรารถนาดังพุทธสุภาษิตที่ว่า“อโรคาปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่การจะมีสุขภาพดีได้ สำคัญคือเราทุกคนต้องหา "ความสมดุล" ของร่างกายให้เจอ เพื่อจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดีและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข
ที่มา : มติชนออนไลน์
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธาน และกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้ค้นคิดวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล จากสารสกัดธรรมชาติ กล่าวว่า ในร่างกายของคนเรามีเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 20,000-55,000 ล้านเม็ด ถือเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่มากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้เรา เพื่อหน้าที่ปรับภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุล ดังนั้น คนวัยทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการปรับภูมิคุ้ม กันให้สมดุลเพื่อป้องกันร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยโดยแนะนำวิธีเพิ่มภูมิ คุ้มกันที่ทุกคนก็สามารถทำได้ดังนี้
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการใช้อาหารเป็นยา
ย้อนกลับไปเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ฮิปโปเครติส นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า "จงให้อาหารเป็นยาของท่าน" แต่สำหรับคนวัยทำงานสมัยนี้ที่มักเลือกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก แซนด์วิช พาย พิชซ่า เป็นต้น ด้วยความที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลาเหมาะชีวิตเร่งด่วนของคนทำงาน การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำย่อมไม่ใช่เรื่องดีเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคนานาชนิด
การดูแลสุขภาพด้วยแนวคิด"ภูมิสมดุล"(BIM : Balancing Immunity) จากสารสกัดพืช 5 ชนิดนับเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพเพราะพิสูจน์ได้ว่า การใช้อาหารเป็นยาสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุลได้ อันเป็นผลจากความทุ่มเทศึกษาวิจัยพืชสกุลมังคุดและอื่น ๆ ยาวนานเกือบ 40 ปี จนค้นพบสารสกัด GM-1 จากมังคุดที่มีประสิทธิภาพในการต้านอาการอักเสบและระงับปวดได้ดีว่าแอสไพรินถึง 3 เท่า และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อมะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สารสกัดธัญพืชและผลไม้ 5 ชนิด คือ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง บัวบก และฝรั่ง ยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง โดยสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด Th1 เพิ่มขึ้น ทำหน้าที่ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงเม็ดเลือดขาวชนิด Th17 ที่ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตามมา และยังช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการพักผ่อนเพียงพอ
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแกร่งโดยปกติคนเราต้องใช้เวลาประมาณ1ใน 3 ของแต่ละวันกับการนอนหลับจึงจะถือว่าพักผ่อนเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง อวัยวะที่สึกหรอ และยังปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ระหว่างที่เรานอนหลับร่างกายยังจะมีหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมา ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต และยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับให้เป็นไปอย่างปกติอีกด้วย ดังนั้น หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดต่ำลง
ที่ สำคัญที่สุด เราควรจัดเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา โดยคนเราควรนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม สำหรับคนทำงานที่นอนหลับไม่เพียงพอก็ควรหาเวลางีบหลับสั้นๆ 10-20 นาที ระหว่างเวลา 13.00-16.00 น. จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและรู้สึกตื่นตัว ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นและบางประเทศในโลกตะวันตกมักจะสนับสนุนให้พนักงานใน องค์กรงีบหลับหลังอาหารกลางวันได้เป็นเวลาไม่เกิน30นาทีในห้องประชุมที่มีไฟ มืดโดยให้นั่งหลับซบกับหมอนโค้งรอบคอหรือหมอนที่มีรูปร่างคล้ายห่วงยางเล่น น้ำ ผลปรากฏว่าพนักงานรู้สึกสดชื่นพร้อมเริ่มทำงานในช่วงบ่ายด้วยความกระตือ รือร้นมากขึ้น
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการออกกำลังกาย
เราควรจะออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย3-5วันต่อสัปดาห์ซึ่งไม่เพียงช่วยให้หัวใจแข็งแรง ระบบไหลเวียนเลือดยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหัวใจล้มเหลว และการเกิดโรคต่างๆ น้อยลง โดยการออกกำลังกายนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ
1.แบบแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย มีลักษณะการออกกำลังที่ไม่รุนแรงมากนักแต่มีความต่อเนื่อง เช่น การเดินวิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้น สำหรับคนวัยทำงานที่ไม่มีเวลา ขอแนะนำวิธีการออกกำลังง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขนไปข้างหน้าเบาๆ ทำมุม 60 องศากับลำตัวพร้อมกับหายใจเข้า แล้วปล่อยกลับมาข้างหลังจึงหายใจออก ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยครั้งละ 10 นาที และใน 1 วัน ควรทำรวมกันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หากทำติดต่อกันได้ 45 วัน ก็จะเห็นผลลัพธ์ตามต้องการ
2.แบบแอนแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยไม่อาศัยออกซิเจน แต่จะอาศัยสารเคมีในร่างกายแทน มีลักษณะการออกกำลังที่ต้องใช้แรงมาก เช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น จึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ บริหารปอดและหัวใจ เสริมสร้างสมรรถนะร่างกายให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ รูปแบบการออกกำลังกายที่จะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ การออกกำลังที่ทำให้หัวใจเต้นหรือมีค่าชีพจรระหว่าง 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งในแต่จะบุคคลมีค่าแตกต่างกันคำนวนโดยใช้เลข 220-อายุ (ปี) เพื่อที่จะได้รู้ว่าเมื่อออกกำลังกาย ชีพจรของเราควรเต้นประมาณกี่ครั้งต่อนาที แต่บางครั้งการจับชีพจรขณะออกกำลังกายอาจทำได้ไม่สะดวก ก็สามารถใช้วิธีสังเกตความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนได้
เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยสมาธิ
ใน ยุคนี้การฝึกสมาธิได้กลายเป็นเทรนด์สุดฮิตของผู้คนทุกเพศทุกวัยเนื่องจากมี การพิสูจน์แล้วว่าการฝึกสมาธิส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจเพราะมีส่วนช่วย เพิ่มระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินในร่างกายซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้านอนไม่ หลับ และปวดศีรษะ ส่งผลให้คนที่ฝึกสมาธิมีพฤติกรรมและอารมณ์ดีขึ้น
ผู้ฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ควรลองนั่งแค่ 5-15 นาทีก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40 นาทีหรือนานกว่านี้ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจปรับตัวไปทีละน้อย เมื่อนั่งไปแล้วหากปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยขยับเปลี่ยนท่า เพราะทุกครั้งที่เราขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้จิตกวัดแกว่ง สมาธิเคลื่อนได้ โดยปกติแล้วหากเราสามารถทนไปได้จนถึงระดับหนึ่ง อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง นอกจากนี้ การทำสมาธินั้นยังช่วยให้จิตใจสงบและมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่หลงวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีตและอนาคต การเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยวิธีนี้เป็นการสิ่งทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องลงทุนสูงแต่ให้ผลลัพธ์มหาศาล
การที่มีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่คนทุกคนปรารถนาดังพุทธสุภาษิตที่ว่า“อโรคาปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่การจะมีสุขภาพดีได้ สำคัญคือเราทุกคนต้องหา "ความสมดุล" ของร่างกายให้เจอ เพื่อจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดีและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข
ที่มา : มติชนออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558
ตามหามือถือ Android ของเราแบบทันใจ แค่พิมพ์ Find My Phone บนเว็บ Google
จากที่ตอนแรกๆ การตามหามือถือ หรือสมาร์ทโฟนนั้น จะต้องติดตั้งแอพ Android Device Manager หรือต้องจำชื่อเว็บไซต์ google.com/android/devicemanager หรือ android.com/devicemanager เพื่อเรียกใช้งานตามหามือถือของเราในกรณี ที่เราจำไม่ได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือ Android ไว้ไหน หรือติดตามว่ามือถือของเราล่าสุดอยู่ที่ไหนในกรณีลืมไว้ใน taxi หรือถูกขโมยไป แต่ล่าสุด Google ได้พัฒนาอีกขั้นให้คุณสามารถตามหามือถือได้ง่ายขึ้น แค่พิมพ์ Find My Phone บนช่อง Search ของเว็บไซต์ Google
ซึ่งผลลัพธ์ออกมาหลังจากพิมพ์ Find My Phone ลงบนช่อง Search ก็จะแสดงพิกัดมือถือ Android ของเราตรงหน้าผลลัพธ์ของเว็บไซต์ Google ทันที ทั้งนี้หากคุณมีอุปกรณ์ Android หลายเครื่อง ก็สามารถเลือกอุปกรณ์ที่คุณจะตามหาได้ตามต้องการ และสามารถคลิกที่ ring เพื่อให้มือถือที่เราตามหาส่งเสียง ringtone ดังๆ ให้คุณได้ยินแล้วตามหามือถือจนเจอ
การที่จะใช้ฟีเจอร์นี้เบื้องต้น ต้องตั้งค่าหน้าเว็บให้เว็บไซต์ google เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษก่อน ถึงจะสามารถพิมพ์ find my phone แล้วจะแสดงพิกัดมือถือบนหน้าเว็บ google ได้ และคุณต้องทำการ sign in ด้วยบัญชี Google Account ( Gmail ) ด้วย และการที่ตามหามือถือ Android ได้นั้น ต้องทำการเปิด Location บนมือถือของคุณด้วย ถึงจะสามารถแสดงตำแหน่งมือถือของคุณล่าสุดได้
ใครใช้ Android อยู่ลองใช้เทคนิคนี้ได้เลย.
Cr : IT24Hours
วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558
เปิดปาก "วู้ดดี้" เจอถามคืนมั่ง! "วงการเฟค?-เสพย์ดราม่า-อีเว้นท์ใหญ่สงกรานต์"ฟังด่วน!
ที่นี่ที่เดียว!! การสัมภาษณ์ครั้งพิเศษพูดคุยกับ วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรคนดังหลังช่วง "ดวงตก" กับการเจาะลึกถึงเรื่องราวภารกิจชีวิตทำอีเวนท์ใหญ่ช่วงสงกรานต์อย่างงาน S2o ปรากฏการณ์ "สงกรานต์ปาร์ตี้แดนซ์" สไตล์วูดดี้ท่ามกลางช่วงกระแสคดีความ และเรื่องราวการเมืองใน Matitalk ครั้งล่าสุด
ที่มา : มติชนออนไลน์
วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558
รูปสมัยมัธยมของ 12 ดาราตัวพ่อ ตัวแม่เกาหลี สวย-หล่อแค่ไหนมาดูกัน
ไม่ใช่แค่พวกเราที่มีรูปในอดีตกันนะค้า..
เพราะดาราดังๆ ก่อนจะมาดังได้นี่ก็ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนมามากมายพอๆ กับเราเลยแหละ
กว่าจะมาสวย มาหล่อขั้นเทพกันขนาดนี้ได้ ก็ผ่านช่วงเป็นละอ่อนน้อยยังไม่โตเต็มวัยทั้งนั้น
คนไหนจะสวยจะหล่อกันมาแต่อ้อนแต่ออก หรือคนไหนเพิ่งจะมาสวยแบบไม่รู้ไม่ชี้กันตอนโตบ้างมาดูกันดีกว่าเน้อ!!!
1. คนแรกเลย ชอนจีฮยอน หรือเอาแบบคุ้นปากเรียกแบบไทยๆ ก็ จวนจีฮุน
แม่นางชอนซงอีของมนุาย์ต่างดาวโทมินจุนนี่เอง
สวยมาแต่เด็กเลยค่า สมศักดิ์ศรีนางเอกระดับประเทศ
2. ตามมาด้วยโทมินจุน (?) ม่ายช่าย คิมซูฮยอน ต่างหาก นี่ก็มีเค้าความหล่ออยู่นะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้แค่หล่อขึ้นมากๆ ก็เท่านั้น 5555
3. คนนี้นี่ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ เพราะจริงๆ ก็เข้าวงการมาตั้งแต่มัธยมแล้ว
ซูจี Miss A
4. มีซูจีแล้วก็ต้องมีแฟนนางใช่มั้ยล่ะ (T__T)
ลีมินโฮนี่เอง ว่าไปแล้วผมนี่ทรงเหมือนตอนเล่นเป็นกูจุนเพียวเลยอะ
5. มาดูเรนบ้าง อันนี้ดิธรรมชาติจริง หน้าทรงเดิม ตาทรงเดิม
6. มาที่หนูผัก พัคชินฮเย คนนี้สวยใสมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ เพราะเป็นดารามาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย
แล้วยิ่งโตก็ยิ่งสวยขึ้นๆ เรื่อยๆ เลย
7. คนนี่ ซงฮะเยคะโย 55555 หรือซองเฮเคียว นั่นเองงงง
ก็สวยอยู่นะเนี่ย
8. อันนี้เก่านิดนึง เป็นชเวจีอู นางเอกเรื่องเพลงรักในสายลมหนาว กับเรื่อง stairway to heaven
หน้าไม่เปลี่ยนเลยจนถึงตอนนี้
9. ตามมาด้วย ฮาจีวอน นางเอกเรื่อง Secret Garden
เป็นคนที่ไว้ผมสั้นแล้วขึ้นมากๆ เลย โตมาก็เหมาะกับผมสั้นอยู่ดี
10. แฟนของเหม่งยุนอา ลีซึงกิ หน้าตาก็ดีเรียนก็เก่งมาตั้งแต่เด็ก คนนี้นี่ประวัติดีมาตลอดจริงๆ เลย อิจฉายุนอาฝรุดๆ
11. ลีมินจอง นางเอกละครหลายเรื่องเลย
แถมตอนนี้ยังเพิ่งเป็นคุณแม่คนสวยด้วย สมัยมัธยมก็สวยไม่ใช่เล่น
12. คนสุดท้ายยยย หนูเห็ด ฮยอนอา 4minute สุดเซ็กซี่
แต่เวลาไปเรียนนี่ดูห้าวมากเลยอะ ไม่มีมาดเซ็กซี่เลย แต่แบบนี้ก็น่ารักเนอะ ^__^
Cr : Dek-D
เพราะดาราดังๆ ก่อนจะมาดังได้นี่ก็ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝนมามากมายพอๆ กับเราเลยแหละ
กว่าจะมาสวย มาหล่อขั้นเทพกันขนาดนี้ได้ ก็ผ่านช่วงเป็นละอ่อนน้อยยังไม่โตเต็มวัยทั้งนั้น
คนไหนจะสวยจะหล่อกันมาแต่อ้อนแต่ออก หรือคนไหนเพิ่งจะมาสวยแบบไม่รู้ไม่ชี้กันตอนโตบ้างมาดูกันดีกว่าเน้อ!!!
1. คนแรกเลย ชอนจีฮยอน หรือเอาแบบคุ้นปากเรียกแบบไทยๆ ก็ จวนจีฮุน
แม่นางชอนซงอีของมนุาย์ต่างดาวโทมินจุนนี่เอง
สวยมาแต่เด็กเลยค่า สมศักดิ์ศรีนางเอกระดับประเทศ
2. ตามมาด้วยโทมินจุน (?) ม่ายช่าย คิมซูฮยอน ต่างหาก นี่ก็มีเค้าความหล่ออยู่นะ
เพียงแต่ว่าตอนนี้แค่หล่อขึ้นมากๆ ก็เท่านั้น 5555
3. คนนี้นี่ก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ เพราะจริงๆ ก็เข้าวงการมาตั้งแต่มัธยมแล้ว
ซูจี Miss A
4. มีซูจีแล้วก็ต้องมีแฟนนางใช่มั้ยล่ะ (T__T)
ลีมินโฮนี่เอง ว่าไปแล้วผมนี่ทรงเหมือนตอนเล่นเป็นกูจุนเพียวเลยอะ
5. มาดูเรนบ้าง อันนี้ดิธรรมชาติจริง หน้าทรงเดิม ตาทรงเดิม
6. มาที่หนูผัก พัคชินฮเย คนนี้สวยใสมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ เพราะเป็นดารามาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย
แล้วยิ่งโตก็ยิ่งสวยขึ้นๆ เรื่อยๆ เลย
7. คนนี่ ซงฮะเยคะโย 55555 หรือซองเฮเคียว นั่นเองงงง
ก็สวยอยู่นะเนี่ย
8. อันนี้เก่านิดนึง เป็นชเวจีอู นางเอกเรื่องเพลงรักในสายลมหนาว กับเรื่อง stairway to heaven
หน้าไม่เปลี่ยนเลยจนถึงตอนนี้
9. ตามมาด้วย ฮาจีวอน นางเอกเรื่อง Secret Garden
เป็นคนที่ไว้ผมสั้นแล้วขึ้นมากๆ เลย โตมาก็เหมาะกับผมสั้นอยู่ดี
10. แฟนของเหม่งยุนอา ลีซึงกิ หน้าตาก็ดีเรียนก็เก่งมาตั้งแต่เด็ก คนนี้นี่ประวัติดีมาตลอดจริงๆ เลย อิจฉายุนอาฝรุดๆ
11. ลีมินจอง นางเอกละครหลายเรื่องเลย
แถมตอนนี้ยังเพิ่งเป็นคุณแม่คนสวยด้วย สมัยมัธยมก็สวยไม่ใช่เล่น
12. คนสุดท้ายยยย หนูเห็ด ฮยอนอา 4minute สุดเซ็กซี่
แต่เวลาไปเรียนนี่ดูห้าวมากเลยอะ ไม่มีมาดเซ็กซี่เลย แต่แบบนี้ก็น่ารักเนอะ ^__^
Cr : Dek-D
ป้ายกำกับ:
คิมซูฮยอน,
จวนจีฮุน,
ซองเฮเคียว,
ซูจี Miss A,
พัคชินฮเย,
เรน,
ลีมินโฮ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)