วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

เพิ่มสมดุลในชีวิตของคนวันทำงาน

ชีวิตของคนทำงานปัจจุบันต้องเร่งรีบและแข่งขันกันสูง เพราะอยู่ในวัยกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างอนาคต เรียกว่าทำงานหนักกันจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาหารการกินที่แต่ละวันได้ทานแต่อาหารสำเร็จรูปคุณภาพต่ำ และเวลาไปออกกำลังกายเพื่อฟิตร่างกายและจิตใจ สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นปัจจัยที่ทำให้ร่างกายเกิดภาวะ "ภูมิคุ้มกันไม่สมดุล" ซึ่งเป็นสาเหตุก่อโรคและปัญหาสุขภาพตามมามากมาย อาทิ โรคออฟฟิศซินโดรม โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธาน และกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) นักวิทยาศาสตร์ไทยคนแรกผู้ค้นคิดวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุล จากสารสกัดธรรมชาติ กล่าวว่า ในร่างกายของคนเรามีเม็ดเลือดขาวอยู่ประมาณ 20,000-55,000 ล้านเม็ด ถือเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่มากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นให้เรา เพื่อหน้าที่ปรับภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุล ดังนั้น คนวัยทำงานที่มีปัจจัยเสี่ยงจึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญของการปรับภูมิคุ้ม กันให้สมดุลเพื่อป้องกันร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยโดยแนะนำวิธีเพิ่มภูมิ คุ้มกันที่ทุกคนก็สามารถทำได้ดังนี้

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการใช้อาหารเป็นยา

ย้อนกลับไปเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ฮิปโปเครติส นักปราชญ์ชาวกรีกได้กล่าวไว้ว่า "จงให้อาหารเป็นยาของท่าน" แต่สำหรับคนวัยทำงานสมัยนี้ที่มักเลือกรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น แฮมเบอร์เกอร์ สเต็ก แซนด์วิช พาย พิชซ่า เป็นต้น ด้วยความที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลาเหมาะชีวิตเร่งด่วนของคนทำงาน การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำย่อมไม่ใช่เรื่องดีเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคนานาชนิด

อาหารเป็นยา

การดูแลสุขภาพด้วยแนวคิด"ภูมิสมดุล"(BIM : Balancing Immunity) จากสารสกัดพืช 5 ชนิดนับเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพเพราะพิสูจน์ได้ว่า การใช้อาหารเป็นยาสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้เกิดความสมดุลได้ อันเป็นผลจากความทุ่มเทศึกษาวิจัยพืชสกุลมังคุดและอื่น ๆ ยาวนานเกือบ 40 ปี จนค้นพบสารสกัด GM-1 จากมังคุดที่มีประสิทธิภาพในการต้านอาการอักเสบและระงับปวดได้ดีว่าแอสไพรินถึง 3 เท่า และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อมะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ สารสกัดธัญพืชและผลไม้ 5 ชนิด คือ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง บัวบก และฝรั่ง ยังมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง โดยสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเม็ดเลือดขาวชนิด Th1 เพิ่มขึ้น ทำหน้าที่ในการกำจัดเซลล์มะเร็ง เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงเม็ดเลือดขาวชนิด Th17 ที่ทำหน้าที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ตามมา และยังช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่สมดุล

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการพักผ่อนเพียงพอ
การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแกร่งโดยปกติคนเราต้องใช้เวลาประมาณ1ใน 3 ของแต่ละวันกับการนอนหลับจึงจะถือว่าพักผ่อนเพียงพอ ช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง อวัยวะที่สึกหรอ และยังปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ระหว่างที่เรานอนหลับร่างกายยังจะมีหลั่งสารเมลาโทนิน (Melatonin) ออกมา ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต และยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับให้เป็นไปอย่างปกติอีกด้วย ดังนั้น หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดต่ำลง

พักผ่อนให้เพียงพอ


ที่ สำคัญที่สุด เราควรจัดเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา โดยคนเราควรนอนหลับประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรเข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม สำหรับคนทำงานที่นอนหลับไม่เพียงพอก็ควรหาเวลางีบหลับสั้นๆ 10-20 นาที ระหว่างเวลา 13.00-16.00 น. จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นและรู้สึกตื่นตัว ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นและบางประเทศในโลกตะวันตกมักจะสนับสนุนให้พนักงานใน องค์กรงีบหลับหลังอาหารกลางวันได้เป็นเวลาไม่เกิน30นาทีในห้องประชุมที่มีไฟ มืดโดยให้นั่งหลับซบกับหมอนโค้งรอบคอหรือหมอนที่มีรูปร่างคล้ายห่วงยางเล่น น้ำ ผลปรากฏว่าพนักงานรู้สึกสดชื่นพร้อมเริ่มทำงานในช่วงบ่ายด้วยความกระตือ รือร้นมากขึ้น

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยการออกกำลังกาย
เราควรจะออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย3-5วันต่อสัปดาห์ซึ่งไม่เพียงช่วยให้หัวใจแข็งแรง ระบบไหลเวียนเลือดยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือหัวใจล้มเหลว และการเกิดโรคต่างๆ น้อยลง โดยการออกกำลังกายนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

ออกกำลังกาย เพิ่มภูมิคุ้มกัน

1.แบบแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยอาศัยออกซิเจนในร่างกาย มีลักษณะการออกกำลังที่ไม่รุนแรงมากนักแต่มีความต่อเนื่อง เช่น การเดินวิ่งเหยาะๆ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก หรือ เต้นแอโรบิก เป็นต้น สำหรับคนวัยทำงานที่ไม่มีเวลา ขอแนะนำวิธีการออกกำลังง่ายๆ ด้วยการแกว่งแขนไปข้างหน้าเบาๆ ทำมุม 60 องศากับลำตัวพร้อมกับหายใจเข้า แล้วปล่อยกลับมาข้างหลังจึงหายใจออก ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อยครั้งละ 10 นาที และใน 1 วัน ควรทำรวมกันให้ได้อย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง หากทำติดต่อกันได้ 45 วัน ก็จะเห็นผลลัพธ์ตามต้องการ

2.แบบแอนแอโรบิค เป็นการออกกำลังกายที่มีการใช้พลังงานโดยไม่อาศัยออกซิเจน แต่จะอาศัยสารเคมีในร่างกายแทน มีลักษณะการออกกำลังที่ต้องใช้แรงมาก เช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น จึงเป็นการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ บริหารปอดและหัวใจ เสริมสร้างสมรรถนะร่างกายให้สามารถออกแรงได้มากในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ รูปแบบการออกกำลังกายที่จะเป็นประโยชน์ต่อหัวใจและปอด คือ การออกกำลังที่ทำให้หัวใจเต้นหรือมีค่าชีพจรระหว่าง 60-80% ของอัตราการเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งในแต่จะบุคคลมีค่าแตกต่างกันคำนวนโดยใช้เลข 220-อายุ (ปี) เพื่อที่จะได้รู้ว่าเมื่อออกกำลังกาย ชีพจรของเราควรเต้นประมาณกี่ครั้งต่อนาที แต่บางครั้งการจับชีพจรขณะออกกำลังกายอาจทำได้ไม่สะดวก ก็สามารถใช้วิธีสังเกตความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการออกกำลังกายแทนได้

เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยสมาธิ


ใน ยุคนี้การฝึกสมาธิได้กลายเป็นเทรนด์สุดฮิตของผู้คนทุกเพศทุกวัยเนื่องจากมี การพิสูจน์แล้วว่าการฝึกสมาธิส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจเพราะมีส่วนช่วย เพิ่มระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินในร่างกายซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้านอนไม่ หลับ และปวดศีรษะ ส่งผลให้คนที่ฝึกสมาธิมีพฤติกรรมและอารมณ์ดีขึ้น

นั่งสมาธิเพิ่มภูมิคุ้มกัน

ผู้ฝึกปฏิบัติใหม่ๆ ควรลองนั่งแค่ 5-15 นาทีก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40 นาทีหรือนานกว่านี้ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจปรับตัวไปทีละน้อย เมื่อนั่งไปแล้วหากปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยขยับเปลี่ยนท่า เพราะทุกครั้งที่เราขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้จิตกวัดแกว่ง สมาธิเคลื่อนได้ โดยปกติแล้วหากเราสามารถทนไปได้จนถึงระดับหนึ่ง อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง นอกจากนี้ การทำสมาธินั้นยังช่วยให้จิตใจสงบและมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น ไม่หลงวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีตและอนาคต การเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยวิธีนี้เป็นการสิ่งทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องลงทุนสูงแต่ให้ผลลัพธ์มหาศาล

การที่มีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นเรื่องที่คนทุกคนปรารถนาดังพุทธสุภาษิตที่ว่า“อโรคาปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่การจะมีสุขภาพดีได้ สำคัญคือเราทุกคนต้องหา "ความสมดุล" ของร่างกายให้เจอ เพื่อจะได้มีภูมิคุ้มกันที่ดีและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข


ที่มา : มติชนออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น