วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ

ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ

19/8/2015 11:35

    ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ

     คงไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงการใช้ชีวิตของสังคมปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามี บทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ไม่ว่าจะเพื่อการประกอบอาชีพ การสนทนาติดต่อสื่อสาร หรือการสั่งซื้อของและการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งจำเป็นต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ไม่เช่นนั้นก็ควรมี Pocket WiFi ติดตัวไปเพื่อการดังกล่าว    

      ปัญหาอินเทอร์เน็ตไม่เป็นดังใจหวังหากไม่มีสัญญาณไวไฟ หรือไม่มีอุปกรณ์ไวไฟพกพาติด ตัวไปด้วย เมื่อไปยังสถานที่ไม่คุ้นเคย  กลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับใครหลายๆ คน หากต้องติดต่องานผ่านอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จึงปิ๊งไอเดียสร้างเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ สร้างเครือข่ายอออนไลน์ไม่สะดุด
     
       สารพัดตู้หยอดเหรียญที่เข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้คนในปัจจุบันกลาย เป็นวิถีชีวิตคนเมืองที่หลายคนขาดไม่ได้ ล่าสุดมีผู้คิดค้น “ตู้กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญ” ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ พร้อมจดอนุสิทธิบัตร การันตีนวัตกรรมไอทีหนึ่งเดียวในไทย
     
       ผศ.ดร.ชุติมา ประสาทแก้ว อาจารย์สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เจ้าของผลงาน “เครื่องให้บริการกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบหยอดเหรียญ (Wi-Fi Vending Machine)"
     
       เผยที่มาไอเดียนี้ว่าเกิดมาจากตัวเองล้วนๆ ที่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังต้องติดต่องานผ่านทางอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งหลายสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยในการทำงานต้องไปหาร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อทำงานซึ่งไม่สะดวก จึงคิดว่าหากมีเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตหยอดเหรียญเหมือนตู้น้ำดื่ม หยอดเหรียญ ตู้เติมเงินมือถือก็คงจะดี จึงเป็นที่มาของ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ

        ทำให้อาจารย์ชุติมาเริ่มศึกษาข้อมูลเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาปรับ ใช้ในการสร้างเครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต โดยพบว่าปัจจุบันมีวิธีเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายไร้สาย Wireless Lan สามารถลดค่าใช้จ่ายในการวางระบบบเครือข่าย โดยไม่ต้องมีการวางระบบเครือข่ายให้ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ต้องเดินสาย LAN เพียงมีจุดในการวางอุปกรณ์ Access Point ที่สามารถกระจายสัญญาณได้ดี
      
         รวมถึงเป็นทำเลที่ขยายระบบได้ง่าย ปรับใช้ในองค์กรหรือความต้องการได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานได้ โดย ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ ดังกล่าวเหมาะสำหรับสถานประกอบการต่างๆ ด้านธุรกิจการสื่อสารหรือตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถขนส่ง สถานีรถไฟหรือรถไฟฟ้า โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ (อำเภอ ที่ดิน และศาล) สถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์การให้บริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ง่ายและสะดวกในการใช้งาน
     
       สำหรับเครื่องกระจายสัญญาณไวไฟแบบหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ เป็นการซื้อเวลาในการเข้าใช้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยลักษณะการทำงานของผู้ใช้หยอดเหรียญเข้าไปในเครื่องตามจำนวนชั่วโมงที่ ต้องการใช้ เครื่องจะพิมพ์ User Name และ Password สำหรับใช้งานในระบบ จากนั้นระบบจะทำการจับเวลาในการเข้าใช้งานและจะหยุดบริการเมื่อหมดเวลาใช้ งาน ถือว่าขั้นตอนไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ใช้งานเลย

       ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาต่อยอด ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ กับนักศึกษา โดยพัฒนาระบบเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มผู้ใช้หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะผู้พิการทางสายตา พิการทางการได้ยิน เช่น การจัดทำอักษรเบรลหรือคำบรรยาย สำหรับคำสั่งต่างๆ ในการใช้งาน หรือมีเสียงประกอบ เป็นต้น

        นอกจากนี้ยังพัฒนาเพิ่มระยะของการปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ให้มีความไกลและแรงมากขึ้น เพิ่มเครื่องรับเงินแบบธนบัตร เพิ่มเครื่องทอนเงิน ให้มีการแจ้งเตือนเมื่อเวลาการใช้งานใกล้จะหมดตามจำนวนเงินที่หยอด มีกล้องวงจรปิดติดที่เครื่องเก็บข้อมูลลงฐานข้อมูลเพื่อใช้อ้างอิงกรณีที่ อาจเกิดปัญหาหรือต้องการใช้อ้างอิงในทางกฎหมาย มีระบบสัญญาณกันขโมยติดที่เครื่อง

        ผู้สนใจเครื่องกระจายสัญญาณ Wi-Fi แบบหยอดเหรียญ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ผศ.ดร.ชุติมา ประสาทแก้ว โทร.080-5791872 หรือสนใจเข้าชมผลงานดังกล่าวได้ ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี โดยที่ผ่านมามีผู้สนใจซื้อตู้WiFiหยอดเหรียญเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ทางอาจารย์ชุติมายังไม่พร้อมเพราะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาบางส่วน แต่คาดว่าจะออกจำหน่ายได้ในเร็วๆ นี้
     
        ล่าสุดเครื่องกระจายสัญญาณไวไฟแบบหยอดเหรียญ หรือ ตู้ไวไฟ(Wi-Fi)หยอดเหรียญ อาจารย์ชุติมาได้ทำการจดอนุสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้วป้องกันการลอกเลียนแบบ

Cr.ผู้จัดการ,Flashfly

ข้าวหอมมะลิลดความดัน

ข้าวหอมมะลิลดความดัน

31/8/2015 10:51

ข้าวหอมมะลิลดความดัน

โรคความดันเลือดสูง มีอุบัติการณ์เกิดโรคสูงขึ้นทุกปีและเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย “รำข้าว” ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการขัดสีข้าวเปลือกนั้น นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารแล้ว ยังพบว่าเปปไทด์ที่สกัดจากรำข้าวนั้นมีฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระและยังยั้งการ สร้างสารที่ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ ดังนั้นหากมีการนำเปปไทด์รำข้าวมาทำการศึกษาวิจัยต่อยอดทั้งในคนและสัตว์ที่ มีภาวะความดันเลือดสูงที่วัดได้จากเครื่องวัดความดัน จะทำให้ได้ข้อมูลสำคัญที่นำไปใช้ในการพัฒนาเปปไทด์รำข้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพต่อไป

จาก ผลการศึกษาวิจัยของ รศ.ยุพา คู่คงวิริยพันธุ์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และคณะวิจัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบว่า เปปไทด์รำข้าวหอมมะลิมีความปลอดภัยในการนำไปใช้ และจากการทดลองในหนูทดลองความดันเลือดสูง พบว่าเปปไทด์รำข้าวมีฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระ ลดความดันเลือด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหลอดเลือด ส่วนการศึกษาในคนที่เริ่มเป็นความดันเลือดสูงที่วัดค่าได้จากเครื่องวัดความดัน พบว่าเปปไทด์รำข้าวช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความแข็งของหลอดเลือดแดง จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดซึ่งเป็นโรคสำคัญที่ทำ ให้ประชากรเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

ดังนั้นผลจากการศึกษา วิจัยในโครงการนี้จึงพบข้อมูลใหม่ที่สำคัญและเป็นรายงานชิ้นแรกเกี่ยวกับผล ของเปปไทด์รำข้าวในการเป็นสารต้านออกซิเดชัน ลดความดันเลือด และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นผลดีอย่างยิ่งกับคนสูงอายุ และคนที่มีการเสื่อมถอยของระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง ได้ทำการจดอนุสิทธิบัตรแล้วเมื่อปี 2551 ชื่อผลงานคือ "การผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสทจากรำข้าวที่มีคุณสมบัติลดความดัน"

ปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ภาคเอกชนได้ผลิตเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ แต่ยังไม่พบว่าเป็นเปปไทด์ที่ได้จากโปรตีนรำข้าวหอมมะลิ ส่วนใหญ่จะสกัดเปปไทด์จากโปรตีนจากถั่วเหลือง ซึ่งราคาขายยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ขวดละประมาณ 70 บาท เนื่องจากว่าราคาเปปไทด์ผงโดยทั่วไปปัจจุบันตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งยังถือว่าราคาสูงมาก

ผลงานวิจัยนี้จะช่วยเพิ่ม มูลค่ารำข้าวที่เป็นวัสดุเหลือใช้ให้เป็นสารเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันและรักษาโรคความดันเลือดสูงต่อไป งานวิจัยนี้ส่งผลดีทางด้านการสาธารณสุข การเกษตร การอุตสาหกรรม และการพาณิชย์ของประเทศ ทำให้ข้าวไทยและกากรำข้าวไทยมีมูลค่าสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับตลาดข้าวระดับโลก และเพิ่มชื่อเสียงให้กับข้าวหอมมะลิของประเทศไทย

ส่วนกระบวนการศึกษา วิจัย ขั้นแรกนำรำข้าวมาสกัดน้ำมันออกก่อน จากนั้นนำไปสกัดโปรตีน เมื่อได้โปรตีนจากรำข้าวแล้วจึงนำไปผสมน้ำในอัตราส่วน 1 ต่อ 4 จากนั้นนำมาปรับสภาพให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่เอนไซม์จะทำงาน คือ ค่า pH8 อุณหภูมิประมาณ 55 องคาเซลเซียส โดยใช้เวลาในการย่อยสลายโดยเอนไซม์โพรเทค 6 L ประมาณ 4 ชั่วโมง จากนั้นก็จะหยุดปฏิกิริยาของเอนไซม์ โดยการให้ความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 95-100 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 10-15 นที จากนั้นนำมาแยกโดยการกรอง ผ่านอัลตราฟิลเทนชั่นเมมเบรน จนได้สารละลายที่มีองค์ประกอบของเปปไทด์ซึ่งอยู่ในรูปของผงละเอียด

แต่ งานวิจัยชิ้นนี้คงจะต้องมีการศึกษาต่อถึงเรื่องโครงสร้างของตัวเปปไทด์ ความคงตัว รวมทั้งอาจศึกษาต่อว่าสารเปปไทด์มีผลต่อระบบสมองหรือไม่ รวมทั้งอาจจะศึกษาถึงแนวทางการเพิ่มผลผลิตเปปไทด์โดยเปลี่ยนจากการทำแห้งแบบ ละเหิดมาเป็นแบบพ่นฝอย

ล่าสุดทางนักวิจัยได้มีการนำเสนอผลงานการ วิจัยต่อผู้ประกอบการผลิตน้ำมันรำข้าว ที่มีความสนใจในการใช้ประโยชน์จากโปรตีนรำข้าวนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร สุขภาพ ทั้งในรูปแบบของแคปซูล ชนิดผง หรือในรูปแบบผสมในเครื่องดื่ม ซึ่งหากงานวิจัยสามารถผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสทจากรำข้าวที่มีคุณสมบัติช่วยลด ความดัน หรือต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีความคุ้มค่าต่อการลงทุน ทางผู้ประกอบการก็มีความสนใจที่จะลงทุนต่อไปในอนาคต

ปัจจุบันนี้ทีม นักวิจัยได้ทดลองผลิตเครื่องดื่มนมถั่วเหลืองผสมเปปไทด์จากโปรตีนรำข้าวหอม มะลิขนาด 180 มิลลิกรัม/ขวด โดยผสมน้ำนมถั่วเหลือง 94.9% น้ำตาล 5% และเปปไทด์รำข้าวอีก 100 มิลลิกรัม ซึ่งคำนวณต้นทุนการผลิตคาดว่าราคาขายน่าจะอยู่ที่ขวดละ 15-20 บาท

Cr.บ้านเมือง,มหาวิทยาลัยขอนแก่น

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รถสำรวจดวงจันทร์คันแรกของโลก

วันประวัติศาสตร์ ณ วันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1972 (พ.ศ 2515) ยานอพอลโล 16 ออกเดินทางไกลในระยะทาง 384,404 กิโลเมตร เป็นการเดินทางไปดวงจันทร์ครั้งแรกของปี ค.ศ. 1972 และเป็นการเดินทางไปลงบนดวงจันทร์ครั้งที่ 5 ของโครงการอพอลโล ถึงแม้ยานอวกาศอพอลโลจะมีประสบการณ์ในการเดินทางไปดวงจันทร์มาแล้วหลายครั้ง แต่จุดมุ่งหมายของ NASA สำหรับการท่องอวกาศในครั้งนี้คือนำรถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVERออกวิ่งสำรวจและเก็บตัวอย่างของหินบนดวงจันทร์เพื่อนำมันกลับมา วิเคราะห์ถึงส่วนประกอบและแร่ธาตุที่อยู่ในหินรวมถึงการตรวจสอบสภาพ ภูมิประเทศในบริเวณที่ยานโอเรียนร่อนลงจอด

รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER เกิดขึ้นจากมันสมองของทีมวิศวกรของ NASA ในโครงการสำรวจอวกาศ MERCURY ที่มีไอเดียในการใช้รถสำรวจน้ำหนักเบาเพื่อเก็บตัวอย่างของวัตถุบนดวงจันทร์ เช่นดิน, ฝุ่น เศษหินที่เกิดจากการชนปะทะของอุกาบาตซึ่งมีอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์ นักบินอวกาศไม่สามารถนำหินเหล่านั้นกลับมาได้ในปริมาณมากๆ เนื่องจากน้ำหนักและเวลาในการออกไปเดินสำรวจที่มีข้อจำกัดในพื้นที่ที่กว้าง ใหญ่ไพศาลในบริเวณที่ยานร่อนลงจอด รวมถึงสภาวะแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าบนพื้นโลกถึงหนึ่งในหกทำให้การเคลื่อนที่ ด้วยการเดินเท้าของนักบินอวกาศจะช้าลงและไม่สามารถไปได้ไกลจากตัวยาน การลงทุนสร้างจักรกลที่สามารถขับเคลื่อนไปในสภาพแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าบน โลกมาก และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในยุค 1970 ยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากและใช้เงินงบประมาณสูงมาก โครงการรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ใช้เงินในการพัฒนาและสร้างสูงถึง 38 ล้านเหรียญ ซึ่งในยุคนั้นถือได้ว่ามีมูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว

รถสำรวจ ดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดสี่คัน สามคันที่ออกเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ถูกจอดทิ้งไว้ในบริเวณที่ยานร่อนลงจอด อีกหนึ่งคันที่เหลืออยู่และเป็นรถต้นแบบถูกนำมาจัดแสดงไว้ที่สถาบัน SMITHSONIAN ในกรุง WASHINGTON  รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER เกิดจากการร่วมมือกันของวิศวกรจาก NASA, บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ของอเมริกัน BOEING และค่ายรถชั้นนำ GENERAL MOTOR หรือ GM เนื่องจากมีเวลาในการคิดค้น พัฒนาและสร้างไม่มากนัก รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทั้งสี่คันจึงถูกสร้างขึ้นในเวลาเพียง 17 เดือนด้วยความรีบเร่ง ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้ามาก พวกมันทั้งสี่คันถูกประกอบจากอะลูมินัมอัลลอยที่วัดขนาดและประกอบด้วย เครื่องมือวัด ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) ที่ลงตัว มอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ระบบขับเคลื่อนและบังคับเลี้ยวเป็นอะลูมินัมอัลลอยทั้งหมด ล้อของ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทำจากเส้นใยอะลูมิเนียมเส้นเล็กๆ นำมาถักให้เป็นรูปล้อทรงกลมวัดขนาดให้เหมาะสมเนื่องจากการใช้ยางจริงในการ วิ่งจะมีน้ำหนักมากจนเกินจากปริมาตรน้ำหนักตัวรถที่วิศวกรทำการคำนวณกันไว้ ในการบรรทุกไปกับตัวยานบริเวณด้านข้างในห้องสำหรับเก็บของขนาดเล็กที่ต้อง พับเก็บตัวรถทั้งคันและนำออกมาประกอบเมื่อถึงจุดหมาย

รถสำรวจดวง จันทร์ LUNAR ROVER จะถูกพับเก็บไว้บริเวณด้านข้างของยานสำรวจโอเรียนในระหว่างการเดินทางไปดวง จันทร์ น้ำหนักโดยรวมของตัวรถทั้งคันอยู่ที่ 200 กิโลกรัม และจะเพิ่มเป็น 250 กิโลกรัมเมื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริม ระบบกล้องโทรทัศน์ที่ถูกติดตั้งอยู่บนตัวรถจะถ่ายทอดสดการทำงานของนักบิน อวกาศและสภาพความเป็นไปรอบๆตัวยาน เพื่อจะให้เจ้าหน้าที่และเหล่าบรรดาวิศวกรที่คอยควบคุมการออกเดินบนพื้นผิว ของดวงจันทร์สามารถเฝ้ามองดู และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับนักบินอวกาศในทันทีที่พบกับปัญหา การที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายจากการเคลื่อนที่ของล้อ ก็หมายถึงตัวกล้องที่ติดตั้งอยู่จะต้องได้รับการทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลา ล้อแต่ละข้างของ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกขับเคลื่อนโดยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ให้กำลังสูงจาก แบตเตอรี่สำรอง ขนาด 36 โวลต์จำนวนสองลูก ซึ่งเพียงพอต่อการวิ่งเป็นระยะทางถึง 40 ไมล์ ด้วยความเร็ว 11 ไมล์ต่อชั่วโมง และสามารถไต่ขึ้นเนินที่มีความชันถึง 35 องศาได้อย่างสบาย โดยให้นักบินอวกาศขับ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทแยงไปมาเป็นรูปตัวเอสเพื่อไต่ขึ้นเนินที่มีความชันไม่มากนัก

เมื่อ นำมันออกวิ่งบนพื้นผิวของดวงจันทร์ที่มีแรงดึงดูดน้อยกว่าโลกหนึ่งในหกจะทำ ให้มันเหลือน้ำหนักเพียง 41 กิโลกรัมเท่านั้นจากน้ำหนักรถทั้งคันที่ 250 กิโลกรัมบนโลก  จากรายงานของนักบินอวกาศที่ทำการขับขี่พบปัญหาจากการออกแบบคือบังโคลนของตัว รถจึงจำเป็นที่จะต้องถอดออกเนื่องจากฝุ่นบนดวงจันทร์ที่ถูกล้อของยาน LUNAR MOVER ตะกุยจนฟุ้งกระจายและเกาะติดไปทั่วบริเวณบังโคลนและตัวล้อ ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายนี้มาจากแร่กราไฟต์และมันจะเกาะติดไปทั่วทั้งคันจนไม่ สามารถขับเคลื่อนได้อีก หากเป็นแรงดึงดูดปกติบนโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้โดยง่าย แต่ในสภาวะอุณหภูมิ 108 องศาเซลเซียส ซึ่งแม้แต่น้ำยังกลายเป็นไอ และแรงดึงดูดที่ต่ำกว่าบนพื้นโลกถึงหนึ่งในหก ฝุ่นผงเหล่านี้กลับก่อให้เกิดปัญหาใหญ่จนตัวรถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ อีกหากไม่ได้รับการแก้ไขดัดแปลงบริเวณบังโคลน ชุดนักบินอวกาศของ NASA จะลดความร้อนจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ในอวกาศที่ไม่มีชั้นบรรยากาศ คอยกรองรังสีคอสมิคอันรุนแรงและอันตรายบนดวงจันทร์ด้วยการฉาบสารสีขาวซึ่งจะ ช่วยสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ หากตัวรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER มีฝุ่นผงกราไฟต์เกาะติดอยู่ก็จะทำให้การสะท้อนความร้อนที่เกิดขึ้นทำได้ไม่ ดีนัก อุณหภูมิภายในชุดนักบินอวกาศจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การ ขับขี่รถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ไปบนพื้นผิวของดวงจันทร์โดยการใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ ติดอยู่ในล้อแต่ละข้างทั้งสี่ตัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก บางครั้งล้อปะทะเข้ากับก้อนหินที่มีอยู่ทั่วไปบนดวงจันทร์ทำให้มันลอยขึ้น จากพื้นบ่อยครั้ง จุดประสงค์ของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทั้งสามคันที่นำขึ้นไปในการสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์สามครั้ง (ยานโอเรียนสามารถบรรทุกรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ได้ครั้งละหนึ่งคันเท่านั้น) ทำให้นักบินอวกาศสามารถขับออกไปสำรวจพื้นที่ได้ไกลกว่าการเดินเท้า ตัวแบตเตอรี่สำรองพลังงานสูงทำให้สามารถเดินทางเป็นระยะทางไกลถึง 36 กิโลเมตร แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องปริมาณออกซิเจนที่ทำให้นักบินอวกาศไม่กล้าที่จะขับมัน ไปไกลจนถึงระยะทางขนาดนั้นเนื่องจากกังวลว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวรถในขณะที่ขับมันออกไปไกลจากตัวยานและไม่สามารถแก้ไข ได้ อาจต้องเดินเท้ากลับไปที่ตัวยานซึ่งเป็นระยะทางไกลมากและอาจก่อให้เกิด เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เช่นระบบออกซิเจนในชุดนักบินอวกาศที่ขัดข้อง การออกสำรวจอวกาศในครั้งนี้คงต้องจบลงและกลายเป็นเพียงสุสานราคาแพงบนดวง จันทร์ก็อาจเป็นได้

เวลา 19.15 น. ของวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน ยานโอเรียนส่วนบนเตรียมตัวเดินทางออกจากดวงจันทร์เพื่อกลับสู่โลกหลังจาก เสร็จสิ้นภารกิจ กล้องโทรทัศน์บนรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ซึ่งจอดทิ้งไว้ใกล้ๆ ยานโอเรียนส่วนล่าง จับภาพการเดินทางขึ้นจากดวงจันทร์ของยานโอเรียนบนจอโทรทัศน์ที่สถานีอวกาศ ฮุสตันมองเห็นยานพุ่งตัวขึ้นไป ทิ้งฝุ่นตลบอยู่ที่พื้นดิน จอห์น ยัง, ชาร์ล ดุ๊ก และโธมัส แมททิงลี ลูกเรือของอพอลโล 16 เดินทางกลับถึงโลกในวันที่ 27 เมษายน รวมนับตั้งแต่เดินทางออกจากโลก จนกลับถึงโลก 265 ชั่วโมง 51 นาที 05 วินาที

จากภารกิจการสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์ด้วยความช่วยเหลือ ของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ทำให้นักบินอวกาศสามารถเก็บตัวอย่างของ ฝุ่น และเศษหิน กลับมายังโลกได้น้ำหนักถึง 113 กิโลกรัม และภารกิจสุดท้ายของรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ก็เสร็จสิ้นลงเมื่อมันถูกขับขี่ไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างจากยานสำรวจโอเรียน พอสมควร ณ จุดนั้นเองที่กล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่บนรถได้ทำการถ่ายทอดสดผ่านสายตาของ มนุษย์บนโลกกว่าพันล้านคน ให้เห็นนักบินอวกาศทั้งสองนาย กำลังขุดเจาะพื้นผิวของดวงจันทร์อย่างอ่อนระโหยโรยแรง ภาพของนักบินทั้งสองคนกำลังก้าวขึ้นไปบนยานโอเรียนเพื่อเดินทางกลับสู่โลก และภาพในช่วงสุดท้ายก่อนที่ระบบกล้องถ่ายทอดสดบนตัวรถจะยุติการทำงานลงเป็น ภาพยานโอเรียนส่วนบนจุดระเบิดเครื่องยนต์พร้อมทั้งพุ่งทะยานขึ้นสู่อวกาศอัน มืดมิดเพื่อเดินทางกลับบ้านโดยมีรถ รถสำรวจดวงจันทร์ LUNAR ROVER ถูกจอดทิ้งไว้ให้เป็นประวัติศาสตร์ในการสำรวจอวกาศยุคแรกๆ ของมนุษยชาติ

Cr.ไทยรัฐ,NASA

วิธีง่ายๆ เพิ่มสัญญาณWiFi ในบ้าน

Photo : Vox.com

เคยเจอปัญหาสัญญาณไวไฟ(WiFi)ในบ้านไปไม่ทั่ว มีจุดอับสัญญาณ แถมความรู้ ความชำนาญก็ไม่เยอะหรือเปล่า แล้วจะทำยังไงให้มีไวไฟ(WiFi)แรง ๆ ใช้ทั่วบ้าน

ปัจจุบันนี้คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านต้องปวดหัวเนื่องมาจากสัญญาณไว ไฟ(WiFi)ที่ช้า หรือบางทีไม่วิ่งเลย ทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในหัวใจ บางทีคุณอาจจะได้รับสัญญาณไวไฟ(WiFi)ได้เต็มขีดที่ห้องนอน แต่พอคุณก้าวพ้นห้องนอนไปที่ห้องครัวเท่านั้น ตัวรับสัญญาณ WiFi บนไอแพดของคุณกลับเหลือ 2 ขีดซะงั้น เรามี 5 วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มระยะทางและสัญญาณไวไฟ(WiFi)ให้กับบ้านของคุณ
     
1.เปลี่ยนเสาอากาศของเราเตอร์(WiFi Router Antenna)
   
เพราะ เสาอากาศที่ติดมานั้นถูกออกแบบให้ส่งสัญญาณได้รอบทิศทาง ซึ่งบ่อยครั้งที่สัญญาณจะไปชนกับผนังหรือตู้ ดังนั้น การเปลี่ยนเสาอากาศใหม่ที่สามารถเน้นไปในทิศทางที่คุณต้องการมากที่สุด หรือที่เรียกว่าเสาอากาศแบบ high-gain ซึ่งทั้งบริษัท D-Link Linksys และ Hawking ต่างมีเสาอากาศแบบนี้จำหน่าย
     
2.เพิ่มไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)

ตัว ไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)นี้จะเพิ่มระยะส่งสัญญาณไวไฟ(WiFi)ให้ไกลขึ้น คุณสามารถติดตั้งตัวนี้โดยไม่ต้องเดินสายเพิ่ม เพียงแค่ติดตั้งไวไฟรีพีตเตอร์(WiFi Repeater)ในจุดที่อยู่ระหว่างเราท์เตอร์และจุดที่คุณต้องการเพิ่มสัญญาณ โดยหลังจากติดตั้งไว-ไฟรีพีตเตอร์ คุณควรจะเห็นประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในทันที
     
3.กำจัดสิ่งที่รบกวนสัญญาณไวไฟ(WiFi)ออกไป
     
สิ่ง ที่หนักและหนา เช่น กำแพงที่หนา ตู้ที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ และอื่นๆ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคได้ พยายามที่จะย้ายเราเตอร์ของคุณให้ห่างจากสิ่งเหล่านี้ หรือตั้งมันให้อยู่ในที่สูงขึ้น เพื่อให้มันกระจายสัญญาณได้ดีขึ้น ในทางเดียวกัน ตัวส่งสัญญาณอื่นๆ เช่น โทรศัพท์บ้านแบบไร้สาย เครื่องมอนิเตอร์เด็กทารก และรีโมตเปิดประตูโรงรถสามารถส่งคลื่นรบกวนสัญญาณไวไฟ(WiFi)ของเราเตอร์ได้ ดังนั้นพยายามที่จะไม่ให้สิ่งพวกนี้อยู่ใกล้ๆ กับเราเตอร์ของคุณ
     
4.อัปเดตเฟิร์มแวร์ของเราเตอร์(Router)
     
โดย ปกติแล้วบริษัทผู้ผลิตมักจะให้อัปเดตเฟิร์มแวร์ของผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ เข้าเว็บไซต์บริษัทเราเตอร์เพื่อทำการอัปเดต และถ้าคุณใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ให้แน่ใจว่าคุณได้อัปเดตซอฟต์แวร์ของเน็ตเวิร์กล่าสุดสหรับระบบปฏิบัติการวิ นโดวส์(Windows) ตอนนี้ก็มีวินโดวส์ 10(Windows10) มาให้ลองใช้งานฟรีแล้ว
     
5.เปลี่ยนตัวรับสัญญาณ WiFi แบบ USB WiFi 
     
ถ้าหากคุณมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นเก่าที่ไม่สามรถรับสัญญาณไวไฟ(WiFi)ในตัว ให้พิจารณาเปลี่ยนมาใช้ตัวรับสัญญาณ WiFi แบบ USB WiFi   แทนที่จะเป็นแบบการ์ด มันจะเพิ่มศักยภาพการรับสัญญาณของตัวโน้ตบุ๊กอย่างเห็นได้ชัด

และ สุดท้ายก่อนจบ ขอให้ตรวจเช็คว่าระบบไวไฟ(WiFi)ในบ้านคุณนั้นไม่มีเพื่อนบ้านแอบมาร่วมแจม อาจจะไม่เกี่ยวกับเพิ่มประสิทธิภาพเท่าไหร่นัก แต่มันทำให้คุณนอนหลับได้ ทำให้มั่นใจว่ามีแต่คุณและคนในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถใช้ระบบไวไฟ(WiFi) ของบ้านคุณได้เท่านั้น

ระบบรักษาความปลอดภัยทางเน็ตเวิร์กโดยพื้นฐานแล้วมี 2 วิธี คือ WPA (wifi protected access) และ WEP (Wired Equivalent Privacy) ซึ่งทั้ง 2 วิธีต้องการพาสเวิร์ด(password)เพื่อใช้แสดงตัวในการผ่านเข้าระบบเพื่อใช้ งาน แต่ถ้าคุณไม่มีทั้งคู่ควรปรึกษากับผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตของคุณ

Cr.ผู้จัดการ

ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์

ท่าอากาศยาน  Cochin International แห่งนี้อยู่ที่เมือง Kochi City ในรัฐ ในรัฐ Kerala ประเทศอินเดีย  เป็นท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของโลก  จากเทคโนโลยีของเยอรมนี บริษัทวิศวกรรม Bosch ของเยอรมนีเป็นผู้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าที่ว่านี้ ซึ่งมีขนาด 12 เมกกะวัตต์ และใช้แผงรับแสงอาทิตย์มากกว่า 46,000 แผง  สามารถนำมาพัฒนาเป็นพลังงานไฟฟ้ามาใช้กับอุปกรณ์เครืองใช้ไฟฟ้ามากกมายภายใน ท่าอากาศยาน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟโซล่าเซลล์  แบตสำรองโซล่าเซลล์ (Solar Collector)  ฯลฯ

นาย V.J. Kurian กรรมการผู้จัดการของท่าอากาศยานใหม่แห่งนี้ กล่าวว่า ระบบการผลิตไฟฟ้าของท่าอากาศยานสามารถผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ มากถึง 52,000 กิโลวัตต์ แต่ที่จะใช้เองนั้น เท่ากับ 49,000 กิโลวัตต์ ที่เหลือจะส่งมอบให้การไฟฟ้าของรัฐ Kerala ท่าอากาศยานพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของโลกจะมีพิธีเปิดท่าอากาศยานแห่งนี้ อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 สิงหาคมนี้

ก่อนหน้านี้ ประเทศอินเดียมได้เริ่มใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยนำมาพัฒนาเป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์คร่อมคลองนามา ด้า ทางตอนเหนือของแคว้นคุชราต ในพื้นที่รกร้างทางเหนือของเมือง มีโครงการนำร่องที่แก้ปัญหาทั้งการขาดแคลนพลังงาน และขาดน้ำใช้ในละแวกคลองนามาด้า ด้วยวีธีง่ายๆ แต่ได้ผลไม่น่าเชื่อ โครงการน้ำร่องนี้เริ่มต้นที่ต้องการจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แจกจ่ายไฟฟ้าตามหมู่บ้านแล้วเหลือเก็บสำรองในรูปแบบพลังงานสำรอง หรือ แบตสำรองโซล่าเซลล์ (Solar Collector)

พื้นที่ จะติดตั้งนั้นเมื่อไปวางบนผืนดินก็อาจจะเสียพื้นที่อยู่อาศัยหรือการทำ เกษตรกรรมรูปแบบต่างๆ ไปได้ ทางเลือกที่โครงการน้ำเสนอคือ ไหนๆ ก็ต้องวางเหล่าดงแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้แล้ว ต้องวางที่ไหนจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด ทางออกของปัญหาจึงมาจบลงที่วางทุ่งแผงโซลาร์เซลล์นี้คร่อมคลองนามาด้าเสีย เลย ด้วยเพราะจะสามารถลดการเสียน้ำไปจากการระเหยด้วยความร้อนจากแสงอาทิตย์

ใน 1 ปีจะลดการระเหยของน้ำได้ถึง 9 ล้านลิตรจากระยะทางของการคลุมคลองความยาวกว่า 19,000 กิโลเมตร ผลลัพธ์เหล่านี้สามารถนำน้ำที่เคยหายไปมาช่วยชาวคุชราตได้มากเลยทีเดียว และยังผลิตไฟฟ้ากว่า 600 เมกกะวัตต์ให้กับ 11 ตำบลในคุชราตอีกด้วย

ใน ปัจจุบันคลองที่มีแผงโซลาร์เซลล์คลุมเพื่อลดการระเหยของน้ำนี้มีความยาวกว่า 458 กิโลเมตรในเส้นคลองหลัก หากโครงการนี้แล้วเสร็จจะมีความยาวมั้งหมด 85,000 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยให้ชาวอินเดียมีน้ำใช้ ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอีกโขเลยทีเดียว ด้วยวิธีแก้ปัญหาอันชาญฉลาดก็คือ การวางแผน การออกแบบก่อนลงมือทำเท่านั้นเอง และในขณะเดียวกันที่บ้านเรามีคลองชลประทานมากมาย พร้อมกับมีแสงอาทิตย์เข้มข้นเหลือเฟือ ดูงานนี้แล้วมันน่าสนใจจริงๆ

อย่าง ไรก็ตาม ท่าอากาศยาน “สีเขียว” แห่งแรกของโลกนั้นที่ใช้พลังงานทดแทนจากธรรมชาติ มีการสร้างมาก่อนหน้าอินเดียเสียอีก  สร้างขึ้นไว้ที่หมู่เกาะ Galapagos ในประเทศ Ecuador เมื่อปี ค.ศ. 2012 และพลังงานที่ท่าอากาศยานแห่งนี้ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าคือพลังลม ซึ่งทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์เมืองไทยเรามีเหลือที่สามารถนำมา พัฒนาได้เลย  เหลือเพียงวางแผนและลงมือทำอะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด

Cr.Creative Move,Voice of America

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ

พลังงานแสงอาทิตย์ถูกใช้งานอย่างมากแล้วในหลายส่วนทั่วทุกมุมโลก เช่นมาทำเป็นโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ หรือแบตเตอร์รีสำรองพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯแถมมีศักยภาพในการผลิตพลังงานมากพอสมควร หากใช้ประโยชน์และนำมาพัฒนาอย่างเหมาะสม พลังงานแสงอาทิตย์ก็สามารถนำมาใช้เพื่อผลิตไฟฟ้าหรือ สำหรับทำความร้อน หรือแม้แต่ทำความเย็น หรือแสงสว่างตามที่กล่าวมาแล้ว ศักยภาพในอนาคตของพลังงานแสงอาทิตย์นั้นถูกพัฒนาไปอีกขึ้นหนึ่งโดยประเทศที่ ถูกจำกัดด้วยพื้นที่ อย่างประเทศสิงค์โปร

ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าสิงคโปร์มีความเชี่ยวชาญการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนบกมากแล้ว ไม่ว่าจะติดตั้งบนหลังคา หรือ สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ อย่างซุปเปอร์ทรี ตั้งอยู่ในสวนมารีนาเบย์ กระชากความสนใจจากผู้คนทั่วโลกด้วยความก้าวหน้าล่าสุดของประเทศ  ส่วนผลผลิตไฟฟ้าจาก 30 เมกะวัตต์เมื่อปลายปี 2557 คาดว่าปลายปีนี้จะเพิ่มเป็น 130 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 350 เมกะวัตต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือประมาณร้อยละ 5 ของความต้องการในช่วงชั่วโมงใช้ไฟฟ้าสูงสุด

ในอนาคตสิงคโปร์จะใช้ พลังงานที่ได้จากธรรมชาติและสะอาด โดยเฉพาะแสงอาทิตย์กับลม ซึ่งขณะนี้พลังงานแสงอาทิตย์ของสิงคโปร์ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะการวิจัยได้พ้นขั้นพื้นฐานไปแล้ว คือจากการผลิตและติดตั้ง ขยับไปที่ผลกระทบที่อาจเกิดจากการใช้ เพื่อขยายการผลิตและใช้ให้ได้มากกว่าเดิม

โครงการหนึ่งที่กำลังวิจัย คือ การติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าลอยน้ำในบ่อน้ำและอ่างเก็บน้ำ เพื่อค้นหาวิธีนำแผงโซลาร์เซลล์ไปใช้ประโยชน์ ถ้าทำสำเร็จสิงคโปร์จะมีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพิ่มมากขึ้นบนพื้นผิว น้ำ สามารถให้พลังงานไฟฟ้า หรือแสงสว่างผ่านโคมไฟโซล่าเซลล์ตามชายฝั่งยามคำคืน หรือเก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอร์รีสำรองได้

ฟัง ดูแล้วง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะปรกติน้ำกับไฟไม่ค่อยเป็นมิตรกันอยู่แล้ว ในน้ำยังมีวัชพืชและสัตว์ที่อาจส่งผลกระทบได้ จึงต้องค้นคว้าระบบบริหารจัดการที่ทำให้ไม่กระทบระบบการติดตั้ง โดยระบบที่ทดลองมีขนาด 5 กิโลวัตต์ ไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่งตรงไปยังพื้นที่บนบกผ่านเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งทั้งหมดผลิตในสิงคโปร์ ทั้งยังได้รับการบริจาคจากบริษัทผู้ผลิตอีกด้วย

ส่วน อีกโครงการเป็นการวิจัยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อค้นหาว่าแผงโซลาร์เซลล์ควรอยู่เหนือน้ำเท่าไรเพื่อให้การผลิตมี ประสิทธิภาพสูงที่สุด หลักการคือยิ่งอุณหภูมิเย็นมากเท่าไร ประสิทธิภาพจะยิ่งมากเท่านั้น นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมสิงคโปร์จึงสนใจติดตั้งระบบในบ่อน้ำและอ่างเก็บน้ำ ทั้งยังคิดจะติดตั้งในทะเล เพราะโครงการนี้มีการวิจัยผลกระทบที่น้ำทะเลมีต่อระบบรวมอยู่ด้วย

ทั้ง นี้ ทั้ง 2 โครงการใช้งบประมาณ 11 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือเกือบ 300 ล้านบาท โดยผู้นำในการวิจัย ได้แก่ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติกับองค์การจัดการน้ำแห่งชาติ ส่วนผู้บริหารจัดการโครงการคือ สถาบันวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งสิงคโปร์

ขณะ ที่บริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์และอุปกรณ์ต่างพากันก่อตั้งกลุ่มเข้าร่วมการวิ จัย โดยคาดการณ์ว่าภายในปีหน้ากลุ่มดังกล่าว 6 กลุ่ม จะติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าลอยน้ำที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์ได้สำเร็จ ซึ่งจะดึงดูดให้บริษัทต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่สิงคโปร์ยังไม่ เชี่ยวชาญเข้ามาร่วม เพื่อยกระดับการวิจัยให้มากขึ้นจนสามารถนำระบบลอยน้ำไปติดตั้งในทะเลได้

ปริมาณ การผลิตอาจยังดู น้อย แต่ถ้าดูผลพลอยได้ทั้งการสร้างองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ การสร้างโอกาส สร้างคน และสร้างงาน ถือว่ามีมากจนไม่อาจประเมินได้ ยังไม่รวมถึงด้านความมั่นคงที่ใช้แผงโซลาร์เซลล์แบบพกพาและใช้ประจำหน่วยรบ ที่กำลังมีการพัฒนาอย่างขะมักเขม้นด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

Cr.โลกวันนี้,อยากใช้พลังงานแสงอาทิตย์

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ปลอกคอสุนัข LED

หนึ่งในโครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ที่น่าสนใจอยู่ในขณะนี้ คือการสร้าง Buddy ปลอกคอแอลอีดีสำหรับสุนัข ที่มาพร้อมไฟอัตโนมัติ LED ในตัว พร้อมเซ็นเซอร์ต่างๆ รวมถึงตัวบอกตำแหน่ง GPS ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหลงทางหายไปไหน

ไฟ อัตโนมัติ LED ที่ติดอยู่ตรงปลอกคอนั้นจะช่วยให้เป็นจุดสังเกตได้ง่ายในที่มืดหรือยาม กลางคืน ส่วนบรรดาเซ็นเซอร์ที่ฝังอยู่ในปลอกคอ Buddy นั้นก็มีทั้งตัววัดอุณหภูมิ, ตัวติดตามกิจกรรมของสุนัข (คล้ายๆ กับสายรัดข้อมือที่วัดการเดิน-วิ่ง ของคน) และเซ็นเซอร์ระบุตำแหน่ง ทั้งยังมีหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่จะแสดงค่าอุณหภูมิร่างกายของสุนัข และตัวเลขปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่มันกินเข้าไป รวมถึงปริมาณพลังงานที่มันเผาผลาญด้วยการออกกำลังกายด้วย

ตัวปลอกคอ แอลอีดี Buddy สามารถเชื่อมต่อกับแอพบนสมาร์ทโฟนได้ทั้ง iOS และ Android ผ่านทางบลูทูธ (ต่อกับ Apple Watch ก็ได้) โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าสีของหลอดไฟ LED  ที่ติดอยู่ตรงปลอกคอได้ ทั้งยังสามารถตรวจดูความเป็นไปของเจ้าตูบเพื่อนรักได้จากข้อมูลในแอพ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณอาหารที่มันกินเข้าไป, การออกกำลังกาย รวมทั้งการจดบันทึกนัดหมายกับสัตวแพทย์ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังกำหนดขอบเขตพื้นที่วิ่งเล่นของมันได้ด้วย โดยหากสุนัขออกไปเพ่นพ่านนอกพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ในแอพก็จะมีการแจ้งเตือนบอก ผู้ใช้ในทันที

ที่ล้ำไปกว่านั้น ปลอกคอแอลอีดี Buddy ยังสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ระบบบ้านอัจฉริยะอย่างเช่น ตัวปรับอุณหภูมิห้อง Nest สามารถปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับสุนัขได้โดยอัตโนมัติ โดยอาศัยจากค่าที่ปลอกคอ Buddy วัดได้ หรือจะทำการเชื่อมต่อกับหลอดไฟ Philips Hue Bulbs ทำให้หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ในห้อง เมื่อสุนัขเข้าหรือออกนอกพื้นที่ที่กำหนดได้เช่นกัน หรือจะเชื่อมต่อกับระบบกลอนประตูไฟฟ้า(Digital Door Lock)ก็ได้ ทำให้สุนัขสามารถเข้าออกเขตประตูได้โดยที่เจ้าของไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดทุก ครั้ง

ปลอกคอแอลอีดี Buddy ถูกออกแบบโดยเลือกใช้วัสดุที่มีความทนทาน สามารถกันน้ำได้ ทำงานโดยอาศัยแบตเตอรี่สำรองซึ่งมีอายุใช้งานได้นาน 2 สัปดาห์ต่อการชาร์จในแต่ละครั้ง

แผนการระดมทุนสร้าง Buddy นี้ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 385,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเยอะเอาเรื่องเลยทีเดียว โดยขณะนี้ได้เงินไปยังไม่ถึงครึ่งทาง พร้อมกับเวลาที่เหลือสำหรับการระดมทุนอีก 16 วัน ใครที่ชอบใจอยากสนับสนุนโครงการนี้ก็เข้าไปกดสั่งจองปลอกคอ Buddy เพื่อสนับสุนเงินแก่ทีม Sueaker ผู้พัฒนา Buddy ได้ในหน้าโครงการ โดยราคาถูกสุดตอนนี้ลดครึ่งราคาเหลือชิ้นละ 245 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 6,400 บาท) จากราคาปกติที่ตั้งไว้ 490 ดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังมีปลอกคอแอลอีดี Buddy รุ่นอืนๆ ที่ลดทอนฟีเจอร์บางประการออกไป ได้แก่ Buddy Lite และ Buddy Fit ซึ่งจะขายอยู่ที่ 245 และ 325 ดอลลาร์ออสเตรเลียตามลำดับ

Cr.แบไต๋,Engadget

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นาฬิกาชีวิต

เวลาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่ของ คนเรา เราใช้ตารางเวลาเป็นตัวกำหนดการทำกิจกรรมต่างๆในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นนอน ไปทำงานตามเวลา นัดหมายประชุม นัดคุยธุระ กินข้าวกลางวัน จนกระทั่งเลิกงานกลับบ้าน กินอาหารเย็น และเข้านอน

ทั้งหมดเป็นตาราง เวลาที่เรากำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต แต่บางทีการกำหนดตารางเวลาที่ฝืนธรรมชาติในตัวของเรามากไปก็สร้างผลเสียต่อ สุขภาพและร่างกายของเราได้เหมือนกัน เช่น การทำงานกลางคืนแล้วนอนตอนกลางวัน กินข้าวสังสรรค์กันจนดึกดื่นเลยเวลานอน การกินอาหารไม่เป็นเวลา ฯลฯ

ร่าง กายของเราก็มีตารางเวลาของมันเหมือนกันครับ เขาเรียกว่า “Circadian Rhythm”  คำว่า Circadian หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเอามาอธิบายการทำงานของร่างกายคนภายใต้คำว่า “Circadian Rhythm” จึงมีความหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของคนเราภายในรอบ 24 ชั่วโมง

ตัวอย่าง เช่น เราจะเริ่มง่วงในตอนประมาณ 3 ทุ่ม และหลับได้ลึกตอนประมาณตีสอง จากนั้นก็จะไปตื่นเอาตอน 6หรือ 7 โมงเช้า เราจะหิวตอนเช้า เที่ยง และเย็น ตอนกลางคืนเราจะปัสสาวะน้อยครั้งกว่ากลางวัน (ยกเว้นคนเป็นเบาหวาน) สิ่งเหล่านี้หมุนเวียนเป็นวัฏจักรไปทุกๆวัน

ที่เป็นเช่นนี้เขาเชื่อ ว่าเพราะมนุษย์เกิดมาบนโลกที่มีรอบเวลามืดสว่างรวมกันเป็น 24 ชั่วโมง เขาพบว่า ความมืดและสว่างมีผลต่อเซลล์กลุ่มหนึ่งในสมองของมนุษย์ เซลล์กลุ่มนี้จะควบคุมอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ ไต กล้ามเนื้อ ระบบภูมิคุ้มกันโรค ระบบฮอร์โมน และระบบสืบพันธุ์ ให้ทำงานเข้ากับรอบเวลา 24 ชั่วโมงนี้พอดี  การฝืนตารางเวลาทำงานของร่างกายจะมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย และถ้าฝืนนานๆเข้าความผิดปรกติของร่างกายแบบถาวรก็จะตามมา

ความมืด จะทำให้การทำงานของร่างกายเข้าสู่โหมดของการพักผ่อน ในขณะที่แสงสว่างจะปลุกให้ระบบต่างๆของร่างกายตื่นตัว พร้อมที่จะทำงาน คนที่เคยไปต่างประเทศอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาจะทราบดี เพราะเวลาของที่นั่นต่างจากบ้านเราแบบกลางวันเป็นกลางคืน กว่าร่างกายของเราจะปรับตัวทำงานตามเวลาของที่นั่นได้ บางทีก็เล่นเอาหลายวัน และในช่วงที่ร่างกายกำลังปรับตัวอยู่นั้นรู้สึกทรมานไม่น้อยทีเดียว

แต่ ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็กำลังฝืนตารางเวลาของร่างกาย หรือ “Circadian Rhythm” ที่ว่านี้ หลายคนไม่กินอาหารเช้า หรือถ้ากินก็แค่กาแฟถ้วยกับขนมปังแผ่น เพราะคิดว่านี่คือวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ แต่ดันนัดกันไปกินมื้อเย็นอย่างเต็มที่ แถมสนุกสนานท่ามกลางแสงไฟต่อจนดึกดื่น

หลายคนชอบลุยงานตอนกลางคืน ทำตัวเป็นนกฮูกจนฟ้าแจ้ง แล้วไปหลับเอาตอนกลางวัน ด้วยเหตุผลว่ากลางคืนมันเงียบดี หรือหลายคนก็เล่นไลน์ เล่นเฟซบุ๊คจนดึกดื่น กว่าจะเข้านอนได้ก็เลยเที่ยงคืนไปนานโข

แสงแดดในตอนเช้าจะกระตุ้น ให้ Circadian Rhythm ทำงานได้ตามปรกติ นั่นแปลว่าระบบหัวใจ ระบบตับไตไส้พุง ระบบภูมิต้านทานโรคของเรา ก็จะทำงานได้ตามปรกติ การไม่เจอแสงแดดในตอนเช้าเลย โอกาสที่การทำงานของระบบเหล่านี้จะรวนก็ย่อมมีเช่นเดียวกัน

ในเวลา กลางคืนระบบ Circadian Rhythm ควรจะเข้าสู่โหมดของการพักผ่อน แต่เรากลับให้มันเจอแสงไฟจากร้านอาหาร ไฟจากคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ตโฟนอยู่อีก นานเข้าระบบมันก็รวนได้

อาหารเช้าคืออีกสิ่ง หนึ่งที่กระตุ้น Circadian Rhythm ให้ทำงานได้ตามปรกติ การไม่กินอาหารเช้า แถมไปหนักเอามื้อเย็น มื้อดึก ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะเข้าสู่โหมดพัก นานเข้า Circadian Rhythm ก็เป๋ได้

ตอนนี้ก็เริ่มชัดเจนแล้วว่าโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ สาเหตุสำคัญอันหนึ่งมาจากการที่ Circadian Rhythm ถูกรบกวนเป็นเวลานานๆจนทำงานบกพร่องไปนี่แหละ  มีการศึกษาในหนูทดลองพบว่า หนูกลุ่มที่เลี้ยงโดยให้โดนแสงและมีอาหารให้กินอยู่ตลอดเวลาจะมีน้ำหนัก เพิ่มมากกว่ากลุ่มที่เลี้ยงตามปรกติ แม้ปริมาณอาหารที่ให้ในทั้ง 2 กลุ่มจะเท่ากันก็ตาม

การปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับนาฬิกาภายในร่างกาย ของเราหรือ Circadian Rhythm จึงมีความจำเป็น เพราะมันหมายถึงชีวิตและสุขภาพของเรานั่นเอง แล้วควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร

เอ มิลี เลเบอร์-วาร์เรน แห่ง CUNY Graduate School of Journalism เสนอข้อปฏิบัติไว้ในนิตยสาร Scientific American Mind ฉบับกันยายน/ตุลาคม 2558 ดังนี้

1.ให้ร่างกายได้สัมผัสกับแสงแดดในตอนเช้า และกินอาหารเช้า ก่อนเข้านอนสัก 2-3 ชั่วโมงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงที่สว่างมากๆ ห้องนอนควรจะมีความมืดพอ และอย่าให้มีแสงจากพวกเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายเข้ามากวนหรือหาเครื่องมือวัดแสง(LUX Meter)ตรวจดูว่ามีความเข็มของแสงมากไปไหม การทำแบบนี้จะช่วยให้ Circadian Rhythm ทำงานได้ตามปรกติ

2.เข้า นอน-ตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน แม้จะเป็นวันหยุดไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนก็ตาม เพื่อให้ Circadian Rhythm ยังสามารถรักษาจังหวะปรกติของมันเอาไว้ได้

3.แสง จากคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต สมาร์ตโฟน มี “บลู ไลท์” เยอะ ไม่ต่างไปจากแสงดวงอาทิตย์ในตอนเช้า นั่นแปลว่ามันสามารถกระตุ้นให้ Circadian Rhythm ทำงานแบบในตอนเช้าได้ ควรหลีกเลี่ยงแสงเหล่านี้ในช่วงเย็นหรือก่อนเข้านอน หรือถ้าจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ควรหาเครื่องป้องกันแสงชนิดนี้มาใช้ ลดความเข้มของแสง หรือวัดค่าความเข้มแสง(LUX Meter)จากเครื่องมือวัดแสง เพื่อหาความเหมาะสมของแสงที่เราจะได้รับ

4.กินอาหารเช้าทุกวัน และงดอาหารรอบดึกเด็ดขาด

5.ทำงานให้เต็มที่ทั้งวัน แต่ก่อนนอนควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักๆ

ธรรมชาติ ย่อมมีเหตุผล แต่ความที่เราไม่รู้ บางทีเราก็ไปฝืน ซึ่งโดยความจริงแล้วก็เพราะเราอยากให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นกับชีวิตของเรานั่น แหละ แต่ในเมื่อเรารู้แล้วว่าการฝืนธรรมชาติก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า เราก็ควรที่จะปรับตัวเราเองให้สอดคล้องไปกับธรรมชาติ ก็แค่นั้นเอง

Cr.โลกวันนี้,นพ.อุดม เพชรสังหาร

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รู้จักและเข้าใจความดันโลหิตของเรา

รู้จักและเข้าใจกับตัวเลข...ความดันโลหิตของเรา 

ต้นตอของโรคร้าย ที่ป้องกันได้ 
เครื่องมือวัดความดันโลหิต 
ปัจจุบันโรคความดันโลหิตสูง นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคาม  โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568 ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน
 
   สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง 70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย
 
ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับตัวเลขความดันโลหิตของเรากันได้แล้ว เพื่อความปลอดภัยและป้องกันภาวะการเจ็บป่วยฉุกเฉิน  
 
สำหรับการวัดระดับความดันโลหิต
 
โดยความดันโลหิตที่เรียกว่า "เหมาะสม" ในผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80มม.ปรอท เรียกสั้น ๆ ว่า 120/80
 
โดยความดันโลหิตที่ "อยู่ในเกณฑ์ปกติ" คือ 120-129/80-84 มม.ปรอท
 
ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท
 
ความดันโลหิตสูง คือ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท
 
สาเหตุและอาการของความดันโลหิตสูง
 
ความดันโลหิตสูงเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารรสเค็ม และส่วนน้อยเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย  
 
ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็น ฆาตกรเงียบ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง หรือแม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษา เพราะรู้สึกปกติ ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่าง ๆ ตามมาภายหลัง
 
 สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ 
 
ดังนั้นก่อนจะสายเกินไปเราควรป้องกันต้นตอของโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเพียงแค่ให้ความสำคัญกับอาหารการกิน หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ เพียงเท่านี้ก็จะลดปัจจัยเสี่ยงได้ของภาวะอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้

ที่มา  :  ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย
  

'กรีน ฮิปสเตอร์'เทรนด์ร้อนคนรักษ์โลก

 กรีน ฮิปสเตอร์,รักษ์โลก,เทรนด์

อยู่ในเมืองใช้ชีวิตนำเทรนด์ ชอบแฟชั่น ไม่ได้รักษ์โลกจ๋า แต่สนใจเทคโนโลยี-ไอเดียรักษ์โลก นี่คือเหล่า 'กรีนฮิปสเตอร์' ที่ไม่ควรมองข้าม

กระแสรักษ์โลก ไม่ใช่แฟชั่น ขณะสินค้าและบริการสีเขียวก็เป็น “ของจริง” ที่กำลังทำรายได้มหาศาลในตลาดโลก !

คำยืนยันจาก “ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต” ผู้เป็นทั้ง ดีไซเนอร์ อาจารย์ และหุ้นส่วนแบรนด์ Osisu ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดโลก เขายืนยันความเชื่อนี้อีกครั้ง ระหว่างการบรรยายในงาน "เสือ สิงห์ กระทิง TALK " ซึ่งจัดโดยสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) ที่ผ่านมา

เขาคือหนึ่งผู้ประกอบการไทย ที่ส่ง “ผลิตภัณฑ์สีเขียว” ไป สยายปีกอยู่ในตลาดโลก และมองเห็นสัญญาณแห่งโอกาสนี้ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ดูได้จากผลการสำรวจครัวเรือนในยุโรป เมื่อปี 2009 พบว่า แต่ละบ้านใช้เงินอยู่ประมาณ 386 ยูโร (ประมาณ 15,000 บาท) เพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แต่พอปี 2015 ตัวเลขนี้กลับโตขึ้นเป็นเท่าตัว โดยคาดกันว่า จะอยู่ที่ประมาณ 751 ยูโร ! (ประมาณเกือบ 3 หมื่นบาท)

เวลาเดียวกับผลการศึกษาการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์กรีนในยุโรป ระหว่างปี 2000-2010 ที่พบว่า เพิ่มสูงถึง “400%” จาก 10.3 พันล้านยูโร มาเป็น 56 พันล้านยูโร และคาดว่า
มูลค่านี้จะเพิ่มอีกกว่า 100% ในปี 2015 หรือประมาณ 114 พันล้านยูโร ! 
 
“จากการศึกษาใน บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมันและสหรัฐอเมริกา พบว่า ในของที่ราคาเท่ากัน คุณภาพเหมือนๆ กัน คนเกือบ 80% จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” (Tetra Pak’s Environmental Research ปี 2008-2011)

เช่นเดียวกับ การสำรวจของ Arthur D. Little ในปี 2011 ที่พบว่า 84% ของผู้บริโภคชาวอิตาเลียน พร้อมใช้เงินมากขึ้นในผลิตภัณฑ์กรีน

ล่าสุดปี 2014 Harris Poll ทำการสำรวจคนที่อายุ 18 ปี ขึ้นไปในอเมริกา พบว่า 75% พร้อมที่จะซื้อสินค้าหรือบริการกรีน เช่นเดียวกับ Nielsen Global Survey ที่สำรวจในปีเดียวกัน โดยเก็บข้อมูลจาก 60 ประเทศ ทั่วโลก ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและด้อยพัฒนา พบว่า 55% หรือคน “มากกว่าครึ่งโลก” พร้อมแล้วที่จะซื้อสินค้าที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม
“เส้นทางนี้...สวยงามมาก”

ดร.สิงห์ ย้ำความน่าสนใจ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วโลก แม้แต่ไทยเองก็มีความตื่นตัวเรื่องตลาดสีเขียว โดยปัจจุบันตลาดสินค้าและบริการรักษ์โลกในไทยมีอยู่ประมาณ 10-15% โดยยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่องค์กรต่างๆ ก็หันมาให้ความสนใจในมิติสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สดๆ ร้อนๆ กับการเปิดตัว “บัตรเดียวเขียวทั่วไทย” (Green Card) เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (สส.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างภาคีเครือข่าย ของกลุ่มผู้ผลิตสินค้า ผู้ให้บริการ ผู้จำหน่ายสินค้า หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ในการขับเคลื่อนการผลิตและใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เรื่องกรีนกลายเป็น “จุดขาย” และกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจของหลายแบรนด์ และกำลัง “ทำเงิน” งดงามในสนามนี้

ดู IKEA ร้านเฟอร์นิเจอร์สัญชาติ สวีเดน ที่มุ่งมั่นในการ “Go Green” ประกาศตัวเป็นองค์กรรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้าทั่วโลก นั่นคือเหตุผลที่ภายในปีเดียวความต้องการในผลิตภัณฑ์รักษ์โลกของ IKEA เพิ่มขึ้นถึง 58% (2014) คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเบาะๆ แค่กว่า 4 หมื่นล้านบาท
แต่จะทำอย่างไรถึงจะมีส่วนร่วมในโอกาสนี้ ง่ายสุดก็ต้องเข้าใจลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น ผ่านคน 5 กลุ่ม 5 คาแรคเตอร์

1.Resource Conservers
กลุ่มคนรักษ์โลก ที่อยากเก็บรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ได้มากที่สุด คนกลุ่มนี้เกลียดขยะ เพราะเห็นทุกอย่างเป็นทรัพยากร เลยไม่ชอบทิ้งของสุรุ่ยสุร่าย ชอบของรีไซเคิล ไม่ชอบอะไรที่โอเว่อร์แพคเก็จจิ้ง ประเภทห่อแน่นอัดเต็ม ไม่เอา ไม่สน ชอบใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงาน ใครอยากขายของคนกลุ่มนี้ ต้องนำเสนอเรื่อง ความคุ้มค่า คงทน ประหยัดพลังงานและทรัพยากร สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ยกตัวอย่าง Rocking Chair ผลงานของ Shawn Kim เก้าอี้โยก ที่ผู้ใช้สามารถนั่งโยกไปมาแล้วผลิตกระแสไฟฟ้าได้ เพื่อจุดโคมไฟให้แสงสว่าง สามารถนั่งอ่านหนังสือไปด้วยได้
แบรนด์ Puma ออกแบบกล่องใส่รองเท้าให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เอาใจเหล่าคนรักษ์ทรัพยากร
เก๋สุดต้องยกให้ “Easy Funeral” จากเนเธอร์แลนด์ ที่ออกแบบโลงศพกระดาษ เพื่อประหยัดเงิน ประหยัดทรัพยากรและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ในการจัดงานศพ ธุรกิจใหม่ที่กำลังร้อนแรงสุดๆ ในยุโรปและอเมริกา

Piet Hein Eek ที่เอาเศษไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์ชิคๆ แม้แต่ผู้ผลิตโคมไฟและของแต่งบ้านจากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งมีอยู่มากมายในบ้านเราก็เข้ากับกลุ่มตลาดนี้

“ไม่ใช่แค่องค์กรเล็กๆ แต่องค์กรใหญ่ก็ทำ อย่าง โค้ก เขาทำเก้าอี้จากขวดเครื่องดื่มของตัวเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้สร้างมูลค่าให้โค้กมหาศาล และสร้าง Brand Value สูงมาก จากสิ่งที่เขาทำ ถามว่า ขายได้ไหม ขายได้ ทำรายได้เป็นล่ำเป็นสัน”

2.Health Fanatics
พวกที่รักตัวเองสุดๆ และรักสุขภาพเอามากๆ คนกลุ่มนี้จะชอบผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก เกลียดยาฆ่าแมลง และสารเคมี ให้ความสำคัญกับมาตรฐาน GMP ฉลากสีเขียว กลัวแดด ชอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ชอบพลิกดูฉลาก อ่านข้อมูล จะทำของขายคนกลุ่มนี้ ฉลากต้องดีไซน์เหมาะสมและมีข้อมูลชัดเจน เพราะเป็นที่หลงใหลได้ปลื้มของคน กลุ่มนี้

ตัวอย่าง “STRAUS” แบรนด์ นมออร์แกนิก ที่บรรจุในขวดกระดาษ ประกาศตัวเป็นสินค้ารักษ์โลก และรักสุขภาพไปพร้อมกันด้วย ก็โดนใจตลาดกลุ่มนี้

หรือ “LUSH” ผลิตภัณฑ์ความงามที่ทำมาจากผักและผลไม้ ขายความเป็นธรรมชาติขนานแท้ ไม่ใช้สัตว์ในการทดสอบ แต่ใช้อาสาสมัครที่เป็นคนทดแทน ขณะบรรจุภัณฑ์ก็เลือกสีดำ เพราะมองว่า พลาสติกเมื่อรีไซเคิลจุดสุดทางแล้วก็จะเป็นสีดำเท่านั้น คิดรอบด้านเพื่อประกาศการเป็นสินค้ารักษ์โลก
ผลิตภัณฑ์เก๋ๆ อย่าง ชุดจานชาม HALVED dinnerware ที่เอาใจคนรักสุขภาพ ที่ไม่ต้องกังวลกับการทานเยอะ ไม่ต้องลดปริมาณอาหาร แต่พวกเขาช่วยลดขนาดจานแทน ด้วยการทำคอลเลคชั่นหั่นครึ่ง ทั้งจาน ชาม แก้วน้ำ ก็มีขนาดแค่ครึ่งเดียว เปรี้ยวๆ แต่โดนใจ คนกลุ่มนี้

3. Animal Lovers
กลุ่มคนรักสัตว์ คนกลุ่มนี้จะไม่สนับสนุนสินค้าที่มีการทรมานสัตว์ หรือใช้สัตว์ในการทดลอง ในกระบวนการผลิต เป็นกลุ่มที่ชอบทำสวน ปลูกผักกินเอง ไม่เอาถุงพลาสติก ชอบใช้ถุงผ้า ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาตอบสนองมีตั้งแต่เครื่องสำอางที่ประกาศตัวว่า ไม่ใช้สัตว์ในการทดลอง หรือไข่ไก่ที่บอกว่า มาจากการเลี้ยงแบบอิสระ จากแม่ไก่ที่มีความสุข เป็นต้น

อย่าง “Kombucha Dog” ชาหมักเพื่อสุขภาพช่วยน้องหมาไร้บ้าน ผลงานของ Michale Faye อดีตช่างภาพโฆษณา ในสหรัฐ เขาใช้รูปสุนัขที่ไร้เจ้าของจากสถานสงเคราะห์ใน LA ชวนให้คนที่ซื้อชาไปดื่ม ช่วยรับพวกมันไปเลี้ยงด้วย โดยระบุข้อมูลติดต่อไว้ในฉลาก เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ มาสนองใจคนรักสัตว์

หรืออย่างบ้านเรา ก็มี “ไข่ไก่อารมณ์ดี” ของอุดมชัยฟาร์ม ที่ชูจุดขายว่า เป็นไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อย ให้อิสระ ได้รับการดูแลด้วยความรัก ไม่ถูกขังอยู่ในคอนโดไก่ แม่ไก่สุขภาพดี ไม่ใช่สารเร่ง เลยได้ไข่ไก่คุณภาพดี
ตัวอย่างไอเดียคูลๆ ที่มัดใจเหล่าคนรักสัตว์ รักษ์โลก

4. Outdoor Enthusiasts
กลุ่มที่ชอบใช้ชีวิตเอ้าท์ดอร์ ต้องการธรรมชาติ คนกลุ่มนี้จะกังวลเรื่องสภาวะโลกร้อน และความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นห่วงเรื่องการสูญพันธุ์ของสัตว์ ชอบแคมปิ้ง ปีนเขา เดินป่า และไม่ชอบเห็นขยะบนเส้นทางท่องเที่ยว ชอบผลิตภัณฑ์ที่เป็นไม้ แต่ต้องมีฉลาก FSC (Forest Stewardship Council) คือ เป็นไม้ที่มาจากป่าปลูกเท่านั้น ไม่ได้สนใจอะไรที่หรูหรามากมาย ชอบของที่ใช้งานจริง ไม่ได้ชอบพวกแฟชั่น หรือตามเทรนด์ และชอบซื้อของจากบริษัทที่ประกาศตัวว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่าง “Care Cone Filters” ที่กรองกาแฟที่ทำจากเยื่อกระดาษซึ่งมาจากป่าปลูก หรือดินสอ Remarkable ที่ชูฉลาก FSC ประกาศตัวชัดว่า ดินสอทุกแท่งผลิตภัณฑ์จากป่าปลูก ไม่ทำลายธรรมชาติ
รองเท้า adidas รุ่น Adidas Green Collection ที่ใช้เส้นใยธรรมชาติและผลิตภัณฑ์ยางรีไซเคิล มาออกแบบเป็นรองเท้ารักษ์โลกสุดเท่

ขณะที่ Nike ก็ออก Nike Trash Talk Shoes รองเท้าที่ทำมาจากเศษรองเท้าของรุ่นอื่นๆ ซึ่งก็ขายดิบขายดีมาก

“Levi’s” ออกรุ่น “Water < Less 501’s” กางเกงลีวายส์รุ่นที่ลดการใช้น้ำในกระบวนการฟอกย้อม จากที่ใช้น้ำมากถึง 42 ลิตร ลดมาเหลือน้อยกว่า 1 ลิตร เท่านั้น ทำให้ลีวายส์กลายเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนองใจกลุ่มรักษ์โลกขาลุย ที่ชอบท่องเที่ยว ให้เลือกลีวายส์มาใส่เที่ยวมากกว่ารุ่นอื่น
หรือ “Tree Ring Web” กระดาษทิสชู่รักษ์โลก ที่ออกแบบเป็นวงปีของต้นไม้ เพื่อบอกให้คนใช้ตระหนักว่า ทุกครั้งที่ดึงกระดาษทิสชู่ไปใช้ เท่ากับทำลายต้นไม้มากขึ้น ซึ่งไอเดียใหม่ ไม่ได้ทำให้ต้นทุนกระดาษเพิ่มสูงขึ้น แต่กลับทำให้ขายได้แพงขึ้น และได้รับความสนใจจากคนรักษ์โลกมากขึ้นด้วย
4 สายพันธุ์แรก เป็นการแบ่งโดย Jacquelyn Ottman (2010) ขณะที่ ดร.สิงห์ แนะนำกลุ่มสุดท้าย ซึ่งย้ำว่า เป็นเทรนด์ร้อนของตลาดสีเขียววันนี้

นั่นคือ Green Hipsters
หรือ กลุ่มคนที่อยู่ในเมือง ไม่ได้ดูรักษ์โลกจ๋า แต่ยังชอบตามเทรนด์ รักแฟชั่น ชอบการแต่งตัว ทว่ามีความสนใจต่อเทคโนโลยี ใหม่ๆ และไอเดียใหม่ๆ ในการรักษ์โลก คนกลุ่มนี้ไม่สนการรักษ์โลกแบบเดิมๆ แต่ชอบวิธีการใหม่ๆ ของใหม่ๆ แม้ราคาสูงขึ้นก็รับได้ ยอมจ่าย ยอมเสียตังค์ ถ้าได้นำเทรนด์ โดย สินค้าที่จะตอบสนองคนกลุ่มนี้ ต้องเป็นนวัตกรรมรักษ์โลกแบบใหม่ๆ ที่สำคัญอย่าแค่รักษ์โลก แต่ต้อง มีดีไซน์ มีศิลปะ สวยงาม และใช้งานง่ายด้วย

ยกตัวอย่าง Nike ที่ทำเสื้อกีฬารักษ์โลกแบบมีนวัตกรรม โดยเป็นผ้าที่ทำมาจากการรีไซเคิลขวดพลาสติก มีนวัตกรรมช่วยให้เหงื่อแห้งไว ไม่มีกลิ่นตัว ใส่สบาย และไม่ร้อน
TOMS รองเท้าที่ขายไอเดีย ซื้อหนึ่งคู่ บริจาคให้เด็กยากไร้อีกหนึ่งคู่ ซึ่งเป็นการแสดงความรักษ์โลกแบบใหม่ ที่สำคัญยังตอบสนองผู้ใช้ได้ทั้งคุณภาพและดีไซน์ เหล่ากรีนฮิปสเตอร์ เลยอยากเป็นเจ้าของรองเท้าทอมส์
“Samsung Origami Printer” เทคโนโลยีพริ้นเตอร์ที่ทำจากกระดาษ
แผงโซล่าร์เซลแบบเหลี่ยมๆ แปะหลังคา ไม่ใช่ทางของเหล่ากรีนฮิปสเตอร์ สำหรับพวกเขาต้อง “Solar Leaf” แผงโซล่าร์ที่ดีไซน์เป็นลายใบไม้เท่านั้น ก็เมื่อใจรักษ์โลก ต้องไปพร้อม “ความงาม” และ “นำเทรนด์” ด้วย
หรือ “Andrea Plant Air Purifier” เครื่องฟอกอากาศมีต้นไม้อยู่ภายในสะท้อนไอเดียรักษ์โลกแบบเก๋ๆ กับ “Plant-integrated design” เฟอร์นิเจอร์ที่ปลูกต้นไม้ได้ ประเภทนั่งโซฟาเก๋ๆ ปลูกเห็ดปลูกผักไปกับเฟอร์นิเจอร์ได้ แพงแค่ไหนขอแค่ได้นำเทรนด์ สาวกกรีนฮิปสเตอร์ก็ยอมจ่ายได้อยู่แล้ว
“ของแบบนี้ กรีนฮิปสเตอร์ชอบ ถูกไหม ไม่ถูก แต่เขาใช้ไหม ใช้ เพราะนำเทรนด์ คนกลุ่มนี้ต้องการรักษ์โลก แต่ต้องเป็นแนวใหม่เท่านั้น”
และนี่คือ “คาแรคเตอร์” ของเหล่าคนรักษ์โลก ที่เขาย้ำว่า คนที่คิดจับตลาดนี้ ต้อง “โฟกัส” ลงไปให้ชัดว่า จะเจาะกลุ่มไหน ไม่ใช่หว่านไปหมด หรือหยิบมาอย่างละนิดละหน่อย เพราะสุดท้ายจะไม่ได้สักกลุ่ม การโฟกัสก็เพื่อจะได้เลือกวิธีการสื่อสาร การใช้กลยุทธ์ และช่องทางต่างๆ ที่จะเข้าถึงคนกลุ่มนี้ ส่วนกลยุทธ์พัฒนาสินค้ามาตอบสนอง เขาว่า ให้ดู 5 ด้าน ตามปัจจัยที่คนทั่วไปใช้ในการพิจารณาสินค้ารักษ์โลก
นั่นคือ ราคา, คุณภาพ, การหามาได้ง่าย, แปลกใหม่ น่าสนใจ และมีข้อมูลให้ทำความเข้าใจได้
“บ้านเราก็เป็นทิศทางเดียวกับต่างประเทศ อาจช้ากว่าเมืองนอกหน่อย แต่มาแน่นอนและจะมาเร็วขึ้นด้วย ผมเชื่อว่า ในเมืองไทยมีกลุ่มกรีนฮิปสเตอร์อยู่แล้ว รวมถึง 4 กลุ่มที่เหลือ และภาพนี้จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ”
ก่อนจะย้ำในตอนท้ายว่า
“กรีน ไม่ใช่แฟชั่น เพราะมันโตขึ้นเรื่อยๆ อย่าง พริ้นท์ ซิตี้ ธุรกิจการพิมพ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเจ้าเดียวในประเทศไทย เห็นเลยว่า ทุกวันนี้เขารับงานไม่หวาดไม่ไหว เพราะเจ้าอื่นไม่มี หรือผมทำเก้าอี้ตัวละ 7 หมื่น ทำไมถึงยังขายได้ แสดงว่า ซัพพลายน้อยกว่าดีมานด์ จริงไหม ไม่ใช่ลูกค้าไม่มี แต่ไม่มีคนขาย ช่องทางจำหน่ายก็น้อย โอกาสเห็นอยู่ แล้วทำไมถึงไม่ทำ”
เมื่อ กรีนไม่ใช่กระแสที่มาแล้วก็ไป แต่อยู่ยั่งยืนในระยะยาว ฉะนั้นใครยังไม่ทำ ก็รอวัน “ตกเทรนด์” เท่านั้น!!
----------------------------------------
ไลฟ์สไตล์ “คนรักษ์โลก”
“อาภาพัณณ์ กุลพงษ์” ผู้จัดการมูลนิธิทิสโก้เพื่อการ กุศล วัย 35 ปี ผู้สนใจเรื่องกรีนมาตั้งแต่เริ่มทำงาน หลังรับรู้ข่าวการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) และปัญหาโลกร้อน (Global Warming) ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เธอเกิดความคิดที่อยากปรับตัวเอง โดยเริ่มจากพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากขึ้น เพื่อหวังช่วยลดผลกระทบที่มีต่อโลก
ตั้งแต่เลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก จากแบรนด์ที่มีระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่ผลิตง่ายๆ ไม่ได้มีขั้นตอนการผลิตที่เป็นอุตสาหกรรมมากมาย แต่ยังเน้นเรื่องความสะอาด ปลอดภัย เลือกซื้อสินค้าจากร้านที่ขายผลิตภัณฑ์กรีน อย่าง โกลเด้นเพลส เพราะเชื่อมั่นว่า ออร์แกนิกของแท้
สินค้าทั่วไปที่กลุ่มนี้ไม่ตอบสนอง ก็เริ่มพิจารณาไปที่บริษัทผู้ผลิต โดยเลือกดูว่า บริษัทเหล่านั้น มีชื่อเสียงด้านสิ่งแวดล้อมไหม ลึกไปจนถึง มีการใช้แรงงานเด็ก มีการคอรัปชั่น หรือไม่โปร่งใสไหม
“ไม่สนับสนุน และจะไม่ยอมรับความไม่ถูกต้อง”
เธอบอกถึงจุดยืน และยกตัวอย่างว่า เคยแบนผลิตภัณฑ์อาหารจากบริษัทหนึ่งไป หลังทราบข่าวว่า กรรมการของบริษัทมีการคอรัปชั่น เธอว่า เมื่อไม่โปร่งใส ก็ไม่ขอสนับสนุน ยอมไปหาอย่างอื่นที่ทดแทนกันได้ดีกว่า เพราะไม่ได้มีสินค้ายี่ห้อนั้นยี่ห้อเดียว และยุคนี้ผู้บริโภคก็มีทางเลือกมากขึ้น
เธอบอกว่า ยอมที่จะจ่ายแพงกว่าในกับสินค้ารักษ์โลก เพราะรู้ดีว่าต้นทุนของพวกนี้จะสูงกว่าสินค้าทั่วไป อย่างกระดาษรีไซเคล ก็ย่อมแพงกว่ากระดาษปกติ แต่ก็ยินดีที่จะสนับสนุน
การเริ่มปรับตัวเองทั้ง เลือกสินค้าที่ดี ไปซื้อของ ไม่รับถุง ซื้อน้ำถ้าเอาแก้วไปเองได้ก็เอาไปเอง ลดการใช้พลาสติก ไม่เปลี่ยนมือถือบ่อย ไม่ตามเทรนด์ และไม่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีแพคเก็จมากๆ จากตัวเองก็เริ่มส่งผลไปสู่ครอบครัว เธอว่า ที่บ้านเริ่มมีขยะน้อยลง อาหารก็เปลี่ยนมาทานออร์แกนิก และทุกคนก็มีความสุข ขณะที่ตัวเธอก็ได้ “ความภูมิใจ” ตามไปด้วย
การสนใจดูแลสุขภาพ ชักนำให้ “อันติกา ทองอยู่” วัย 40 ปี ให้เข้าสู่วิถีกรีน หลังจากตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพในบ้านเราเติบโตขึ้น มีผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกออกสู่ตลาดมากขึ้น เธอเลยเริ่มทำอาหารทานเองโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ หลังจากเป็นคนซื้อ พอได้ไปเรียนรู้เรื่องการปลูกผักออร์แกนิก เลยปรับพื้นที่ในบ้าน ทำสวนผัก ผลไม้ ไว้ทานเอง ทั้งประหยัด และได้สุขภาพ
นอกจากมีสวนผักส่วนตัว อันติกา ยังเป็นนัก D.I.Y ตัวยง ใครจะคิดว่า เก้าอี้ โต๊ะ หมอน ชั้นวางของ กระเป๋าผ้า และของใช้หลายอย่างภายในบ้าน จะเป็นฝีมือของเธอทั้งนั้น
จากของที่เคยจัดการด้วยการ “ทิ้ง” เธอว่า ทุกวันนี้ ก่อนจะทิ้งอะไร ต้องมาคิดทบทวนทุกครั้งว่า พอจะไปรีไซเคิลเป็นอะไรได้บ้าง ทำให้ต่อยอดความคิดไปไกล และทำลายโลกน้อยลง แม้แต่เศษอาหาร ก็ยังเอามาเป็นปุ๋ยดูแลต้นไม้ในสวนน้อยๆ
“ทำของพวกนี้ ประหยัด ไม่ต้องใช้เงิน และลดการใช้ทรัพยากรลงได้ด้วย ที่สำคัญคือ ให้ความรู้สึกว่า เราทำได้ แม้จะเป็นผู้หญิง แต่ถ้ากล้าทำ ก็ไม่มีอะไรเกินความสามารถ และยังได้ภูมิใจกับสิ่งที่ทำด้วย”
อันติกาชอบใช้กระเป๋าผ้า เธอว่า ใส่สบาย จุของได้มาก และหากชำรุดยังซ่อมได้ ที่สำคัญผ้าย่อยสลายง่าย ไม่เหมือนวัสดุอย่างอื่น หลายคนเลือกกระเป๋าหนังสัตว์เพราะแข็งแรง และดูแพง เธอว่า ปฏิเสธทุกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ เพราะเชื่อว่า ถ้าจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ก็ต้องเบียดเบียนให้น้อยที่สุด
ส่วนสินค้ากรีน เธอบอก รับได้ถ้าราคาจะสูงกว่าปกติ เพราะเข้าใจในความยากและต้นทุนที่สูงของผลิตภัณฑ์เหล่านี้
โลกของคนกรีนไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว อันติกา เล่าว่า หลังได้รู้จักกับ “พภัสสรณ์ จิรวราพันธ์” คน คอเดียวกันเลยถูกชักชวนให้เข้ากลุ่มคนรักษ์โลก ซึ่งมีสมาชิกอยู่ประมาณ 10 คน จากหลากหลายอาชีพ พวกเขารวมตัวกันเพื่อมาทำกิจกรรม อย่าง ทำอาหารเพื่อสุขภาพ ปลูกผัก หมักดิน ทำปุ๋ย และทำผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติใช้เอง โดยติดต่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันผ่านทางกลุ่มในเฟซบุ๊ก ช่องทางติดต่อกลุ่มคนรักษ์โลก
“สุภิญญา ช่วยสงเคราะห์” เลขาหน้าหวาน วัย 34 ปี ผู้รักธรรมชาติและชอบการเดินทางท่องเที่ยว เธอตื่นตัวกับเรื่องสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยน และสัมผัสได้ถึงสัญญาณผิดปกติของธรรมชาติ อย่างการที่ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรืออากาศที่หนาวนานกว่าปกติ
ความใส่ใจในธรรมชาติและการรักสุขภาพ ทำให้เธอหันมาปรับเปลี่ยนตัวเอง ตั้งแต่ การทานอาหารที่ไม่ปรุง ทานผักสดผักปลอดสาร เลือกใช้ไขมันที่ดี เธอชอบใช้กระเป๋าผ้า ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ไม่ใช้ภาชนะที่เป็นพลาสติก ไม่เลือกของที่สร้างมลพิษ ร้านไหนขายอาหารใส่ใบตอง จะยิ่งปลื้มเอามากๆ
“โดยส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยวต่างจังหวัด ชอบเดินป่า อยู่กับธรรมชาติ เลยเห็นว่า หลายคนที่ไปเที่ยว มักเอาขยะไปทิ้งไว้กับป่าด้วย บางคนบอกว่า ก็แค่ทิ้งขยะ แค่ไม่รักษาสิ่งแวดล้อม แต่มองว่า อย่างการฆ่าคนตาย ต่อให้เราเอามีดไปกรีด หรือไปยิงเขา ก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจะทำมากทำน้อยก็ถือว่า ทำลาย ถ้าไม่ทำได้ก็เป็นเรื่องดีมาก” เธอบอก
เมื่อเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนการท่องเที่ยวของตัวเอง อย่าง ทุกครั้งที่แบกเป้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ก็เริ่มชักชวนกันไปเก็บขยะ ไม่ต้องมากมาย เอาแค่ทางที่เดินผ่านนี่แหล่ะ เจออะไรก็เก็บไปทิ้ง คืนความสวยให้ธรรมชาติ
การเข้าสู่วิถีกรีน เธอว่า ทำให้ชีวิตดีขึ้น ประหยัดขึ้น และไม่ต้องเหนื่อยที่จะไปพยายามหาของมาใช้เหมือนแต่ก่อน หลายคนอาจโอเคกับผลิตภัณฑ์กรีนที่มีราคาสูง แต่เธอว่า ขอเลือกราคาที่สมเหตุสมผล และอยู่ในระดับที่รับได้ คือ ไม่สูงเกินไป ที่สำคัญต้องดีต่อสุขภาพจริงๆ ด้วย
“วันนี้บ้านเรามีสินค้ากรีนเยอะมาก บางอย่าง เลยดูกรีนไม่จริง แต่เป็นเรื่องการตลาดมากกว่า แต่ก็ดีตรงที่ผู้บริโภคยุคนี้มีทางเลือกมากขึ้น เขาเลือกได้ว่าจะสนับสนุนคนไหน ขณะที่คนที่ชอบแนวนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่าง เริ่มเห็นเพื่อนๆ มาปลูกผักออร์แกนิกกัน และเริ่มทำขาย เพราะตลาดมีรองรับมากขึ้น” เธอบอก
ปิดท้ายกับ “สรีรัตน์ สุกมลสันต์” เอ็นจีโอสายเยาวชน วัย 38 ปี เธอชอบข้าวอินทรีย์ ผลผลิตของท้องถิ่น กินอาหารตามฤดูกาล และใส่เสื้อผ้าที่ย้อมสีธรรมชาติ ขณะข้าวของในชีวิตประจำวันถ้าเลือกได้ก็จะเลือกซื้อจากผู้ผลิตโดยตรง
การพิจารณาเลือกสินค้าหรือบริการรักษ์โลก เธอว่า จะเน้นที่ต้นทางการผลิต โดยดูว่าสินค้าหรือบริการนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ โดยเธอจะศึกษาข้อมูลเพื่อให้รู้ถึงที่มา ของสิ่งที่กิน สิ่งที่สวมใส่ เธอสนับสนุน อาหารพื้นบ้าน และอะไรที่มีในชุมชน เลือกร้านค้าชุมชน ทานอาหารท้องถิ่น และชอบสิ่งที่เป็นภูมิปัญญา
ส่วนการใช้จ่ายกับสินค้ากรีนในแต่ละเดือน เธอบอกว่า จ่ายเงินไปกับสินค้ากรีนประมาณเดือนละ 2-3,000 บาท โดยเน้นของที่ใช้ในการในการดำรงชีวิตเป็นหลัก
แม้จะยกมือว่าเป็นพลเมืองคนรักษ์โลกเต็มตัว แต่เธอรับว่า ราคามีผลกับการตัดสินใจซื้อสินค้ากรีน โดยมองว่า ต้องอยู่ในระดับราคาที่ซื้อหาได้ด้วย เพราะของบางชิ้น แม้เป็นของดี มีคุณค่า แต่ถ้ากำลังจ่ายไม่ถึง ก็ซื้อไม่ได้
“ตอนนี้สินค้าพวกนี้ค่อนข้างเยอะนะ บางทีบางคนทำนิดเดียวแต่เคลมว่า รักษ์โลก บางรายเป็นการใช้โอกาส ทำกรีนโพรดักส์ ใช้กระแสกรีน มาขายสินค้า ขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมาก ก็ไม่เข้าใจเรื่องกรีนจริงๆ คิดว่าแค่เคลมว่า กรีน ก็ช่วยโลกได้แล้ว ซึ่งสินค้าแบบนี้มีเยอะมาก” เธอฝากทิ้งท้ายเพื่อให้คนกรีน หรืออยากอยู่ในเส้นทางนี้ เข้าใจและรู้ทันสินค้ารักษ์โลกมากขึ้น

ตัวอย่าง พลเมืองรักษ์โลก ตลาดหอมหวานของผลิตภัณฑ์สีเขียววันนี้

Cr  :  

แนะนำก่อนซื้อเครื่องวัดความดัน

ก่อนจะซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตมาใช้ที่บ้าน ลองอ่านคำแนะนำนี้

1. ใช้เครื่องวัดความดันแบบอัตโนมัติ (เครื่องวัดความดันแบบดิจิตอล)
หากท่านไม่ใช่บุคคากรทางการแพทย์แล้ว การวัดความดันด้วยเครื่องวัดความดันแบบปรอทคงเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก   ดังนั้นเครื่องวัดแบบอัตโนมัติ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไป ซึ่งสะดวกใช้งานได้ง่าย

2. เครื่องวัดความดันแบบอัตโนมัติ ระหว่างเครื่องวัดความดันที่ต้นแขน และ เครื่องวัดความดันที่ข้อมือ เลือกแบบไหนดี

คำถามนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของท่าน

เครื่องวัดความดันที่ต้นแขน  จะได้ค่าความดันโลหิตที่ใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด  เนื่องจากอยู่ใกล้หัวใจ และอยู่ระดับเดียวกับหัวใจมากที่สุด  แต่พกพาไม่สะดวกเท่าเครื่องวัดความดันโลหิตที่ข้อมือ

3. ความถี่ในการใช้งาน
หากท่านจำเป็นต้องการใช้งานบ่อย  ควรเลือกเครื่องวัดความดันแบบที่มี adaptor เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอรี่

4. เลือกเครื่องวัดความดันโลหิตที่ผ่านการรับรอง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องวัดความดัน นั้นได้มาตรฐาน ซึ่งปกติ เครื่องวัดความดันยี่ห้อชั้นนำ เช่น beurer และ Omron ก็ผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำ

5. งบประมาณและจำนวนสมาชิกที่ต้องใช้เครื่องวัดความดัน
ถ้าท่านมีงบประมาณจำกัดและใช้เครื่องวัดแค่คนเดียว  เลือกเครื่องวัดความดันที่ได้มาตรฐานเพื่อใช้งานก็เพียงพอ  ไม่จำเป็นต้องมีฟังก์ชั่นมาก
หากท่านที่มีงบประมาณมากหรือมีสมาชิกที่ต้องใช้ร่วมด้วย  ควรเลือกแบบที่มีฟังก์ชั่นการใช้งาน เช่น Memory  บันทึก ระบุ วัน เวลา เป็นต้น   เครื่องวัดความดันยี่ห้อเดียวกันแต่ราคาต่างกัน  ขึ้นกับหน่วยความจำ และ ฟังก์ชั่น ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. ระยะเวลาในการรับประกันของเครื่องวัดความดันในแต่ละแบรนด์ / รุ่น


คำแนะนำในการใช้เครื่องวัดความดันโลหิต

  • ไม่ควรวัดความดันทันทีหลังอาหารมื้อหลัก ควรห่างอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่หรือเครื่องก่อนทำการวัดความดัน
  • ไม่ควรวัดความดันขณะที่ร่างกายเหนื่อย หมดแรง อ่อนเพลีย หรือมีอารมณ์เครียด
  • ถ้าใช้เครื่องวัดความดันที่ต้นแขน ให้วัดในท่านั่ง วางแขน และข้อศอกบนโต๊ะ จัดระดับให้ผ้าพันต้นแขน หรือผ้าพันข้อมืออยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ
  • ถ้าใช้เครื่องวัดความดันที่ข้อมือ ให้วัดในท่านั่ง วางข้อมือให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ 
Cr  :  เครืองวัดความดัน
เว็บไซต์เกี่ยวข้อง : เครื่องมือวัดความดัน

เครื่องมือวัดความดัน เครื่องมือวัดความดันโลหิต เครื่องวัดความดัน

เลือกซื้อเครื่องมือวัดความดันโลหิตอย่างไร


เครื่องวัดความดันโลหิต(Blood Pressure Meter)

 เครื่องวัดความดันโลหิต
ในปัจจุบันผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่ผู้ที่ห่วงใยสุขภาพตนเองมักซื้อเครื่องวัดความดันมาใช้เองที่บ้าน ซึ่งเครื่องวัดความดันเหล่านี้มีความแตกต่างจากเครื่องวัดความดันที่โรง พยาบาลอย่างไร เราจำเป็นต้องศึกษาเพื่อนำมาพิจารณาในการเลือกซื้อ

เครื่องวัดความดันแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  1. เครื่องวัดความดันแบบปรอท เป็นเครื่องมือมาตรฐานที่นิยมใช้ในโรงพยาบาล ประกอบด้วยสายรัดแขนที่ทำให้พองได้เชื่อมต่อกับลูกยางที่ใช้บีบและ แท่งแก้วที่บรรจุปรอทอยู่ภายใน หลักการทำงานของเครื่องใช้แรงโน้มถ่วงของโลก โดยบีบลมเข้าไปจากนั้นสังเกตปรอทในแท่งแก้วขณะที่ปลดปล่อยแรงดันอากาศ จากแรงดันสูงสุดและต่ำสุดสามารถอ่านค่าความดันโลหิตในหน่วยของมิลลิเมตรปรอท ในการติดตั้งเครื่องจำเป็นต้องตั้งเครื่องในแนวระราบเดียวกับพื้นเพื่อความ แม่นยำในการอ่านค่า ควรระมัดระวังในการใช้อย่าให้แท่งแก้วที่บรรจุปรอทแตก และสิ่งสำคัญผู้อ่านค่าจากเครื่องวัดความดันแบบปรอทจำเป็นต้องได้รับการฝึก อบรม
  2. เครื่องวัดความดันแบบขดลวด เป็นเครื่องมือที่มีกลไกซับซ้อนขึ้น บางชนิดเชื่อมต่อกับหูฟังของแพทย์ ต้องใช้ทักษะในการฟัง (ไม่สามารถใช้งานได้ในสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังรบกวน) แต่บางชนิดอ่านค่าจากจอมอนิเตอร์ น้ำหนักเบา พกพาได้ แต่ยังจำเป็นต้องบีบลมเข้าไปด้วยตนเอง และยังต้องตรวจสอบความแม่นยำเทียบกับเครื่องวัดความดันแบบปรอท
  3. เครื่องวัดความดันแบบดิจิตอล เป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นให้ใช้งานได้ง่ายสะดวก เหมาะกับการวัดด้วยตนเอง น้ำหนักเบาพกพาได้ สามารถอ่านค่าความดันโลหิตจากจอมอนิเตอร์โดยตรงและไม่ต้องบีบลมเข้าด้วยตน เอง บางชนิดสามารถอ่านค่าอัตราการเต้นของหัวใจรวมถึงมีหน่วยความจำบันทึกข้อมูล ความดันที่ได้ในแต่ละครั้งเปรียบเทียบกัน และยังต้องตรวจสอบความแม่นยำเทียบกับเครื่องวัดความดันแบบปรอท
  4. เครื่องวัดความดันแบบดิจิตอลมีทั้งแบบที่วัดข้อมือ และต้นแขน ซึ่งค่าความดันที่ใกล้เคียงความจริงที่สุดควรมาจากการวัดความดันที่ต้นแขน ซึ่งเป็นอวัยวะที่อยู่ใกล้หัวใจรวมทั้งอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจอีกด้วย ในการเลือกซื้อเครื่องวัดความดันควรเลือกเครื่องที่ผ่านการรับรองหรือผ่าน การตรวจวัดเครื่องว่าได้รับมาตรฐานจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ อาทิเช่น American Association of medical Instrument; AAMI, British Hypertension Society; BHS และ International Protocol of the European Society of Hypertension; ESH เป็นต้น
Cr  :  เครื่องวัดความดันดอทคอม
เว็บเกี่ยวข้อง : เครื่องวัดความดัน

บ้านใคร ใครก็รัก

ไวไฟพกพา

การท่องเที่ยวไทย : หลายฝ่ายควรช่วยกันส่งเสริมกันอย่างจริงจัง

ผู้เขียนเป็นคนที่ชอบการท่องเที่ยวมาก ได้ท่องเที่ยวไปแล้วทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ สำหรับในประเทศไทยนั้นได้ท่องเที่ยวไปครบทุกจังหวัดแล้ว
   
ได้เห็นสิ่งดีๆ หลายอย่าง และในประเทศไทยนั้น มีสิ่งที่สวยงามและน่าสนใจเยอะมาก แหล่งท่องเที่ยวหลายต่อหลายแห่งในไทยสามารถขายได้แม้กระทั่งนักท่องเที่ยว ไทยด้วยกัน

    ดังนั้น นอกจากเจ้าของพื้นที่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะช่วยกันตีปี๊บ รวมทั้งหาทางให้เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้ว คนไทยทุกคนต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวด้วย

     ผู้เขียนได้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของไทย โดยใช้เฟซบุ๊ค (Facebook) ส่วนตัวของผู้เขียนอยู่เป็นประจำ

     แหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งซึ่งผู้เขียนประทับใจมาก คือที่ผาช่อ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติแม่วาง หลายคนเรียกขานว่าเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองไทย

     ผาช่อเป็นหน้าผาสูงชันที่เชื่อว่าเกิดจากการกัดเซาะของลมฝนนานนับร้อยนับ พันปี ลักษณะคล้ายกำแพงและเสาหินขนาดใหญ่ลวดลายแปลกตา สูงใหญ่ราว 30 เมตร เป็นบริเวณกว้างนับร้อยเมตร

     ถ่ายภาพลงเฟซบุ๊คของผู้เขียนแล้ว เพื่อนๆ หลายคนชื่นชอบ ไม่เคยไปและอยากไปเที่ยวกันทั้งนั้น

     ใช้เวลาในการเดินทางจากเชียงใหม่ไม่ถึงชั่วโมง อยู่ห่างจากถนนเชียงใหม่-ฮอด 12.5 กิโลเมตร ทางเข้าผาช่อเป็นทางราดยาง 7.5 กิโลเมตร และทางลูกรัง 5 กิโลเมตร

    เป็นไปได้ไหมครับ ที่กรมอุทยานฯ จะใช้เงินเข้าชมจากอุทยานแห่งชาติอื่นนำมาสร้างทางราดยางเฉพาะส่วนที่เป็น ลูกรัง 5 กิโลเมตร เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางเข้า-ออกด้วยความสะดวกสบาย

    แต่ไม่จำเป็นต้องขยายถนนนะครับ เลนเดียวแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ เพียงพอแล้วครับ

    จากที่ทำการของกรมอุทยานฯ ด้านบน เดินลงมาเพียง 100 เมตร ตรงนี้คงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรครับ แม้จะเดินยากก็เดินได้ และผู้ที่กลัวกับการเดินลงก็มีทางเลือกให้เดินจากลานจอดรถเข้าไปได้

    ทางเดินเข้าผาช่อแม้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขออย่างเดียวครับ ช่วยขยายทางขาออกให้กว้างอีกนิดก็จะช่วยให้นักท่องเที่ยวที่เจ้าเนื้อซัก หน่อยจะได้เดินออกมาโดยไม่ลำบากมากนัก

     ผาช่อสวยงามมากๆ ยังตรึงตาตรึงใจผู้เขียนจนถึงวันนี้ แต่ในวันที่ผู้เขียนไปเยี่ยมชมนั้น มีนักท่องเที่ยวเฉพาะชาวไทยไปเยี่ยมชมไม่ถึงเลข 2 หลัก

     หากจังหวัดเชียงใหม่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะช่วยประชาสัมพันธ์ผา ช่อให้มากกว่านี้ ก็จะทำให้ความสวยงามของผาช่อเป็นที่เลื่องลือ และมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมกันมากขึ้น

     แน่นอนครับ ย่อมทำให้เศรษฐกิจของพื้นที่ใกล้เคียงและของจังหวัดเชียงใหม่ในภาพรวมดีขึ้น

     นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยนะครับ

    แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สวยงามและยังเข้าถึงโดยสะดวกซึ่งยังมีอีกมาก ก็คงทำได้เช่นเดียวกัน

    นอกจากเรื่องการพัฒนาการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวและการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ แล้ว จากประสบการณ์ของผู้เขียนเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่หลายฝ่ายควรหาทางช่วย กันส่งเสริม

    เรื่องแรกคือเรื่องการบริหารจัดการ หลายแห่งมีของดีอยู่กับมือแล้วแต่บริหารไม่เป็น

    บ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง สร้างไว้อย่างดี ทั้งสระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำส่วนตัว และอื่นๆ อีก แต่เมื่อเข้าไปไม่มีผู้ใดคอยบริการทั้งๆ ที่อยู่ในเวลาการบริการ (ตามป้าย) โทรศัพท์สอบถาม แต่ได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่กลับแล้ว

     สวนสัตว์เปิดบางแห่งก็มีสัตว์ป่าหายากหลายชนิด แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปชม

     สิ่งเหล่านี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคงให้การช่วยเหลือได้ โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสำรวจข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว พร้อมศึกษาวิธีบริหารจัดการ หากไม่ดีก็ควรแนะนำและหาทางช่วยเหลือ

    เรื่องที่สองคือโรงแรม บางโรงแรมเจ้าของหรือสถาปนิกคงอาจไม่เคยพักที่โรงแรมดีๆ ที่อื่น

     จึงไม่ทราบว่าสวิตช์ไฟและปลั๊กไฟควรมีเท่าไร อยู่ตรงไหนที่ให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวมากที่สุด

     บางแห่งสวิตช์ไฟอยู่บนกำแพง ดับไฟแล้วต้องเดินคลำไปหาเตียง ในห้องน้ำก็ไม่มีปลั๊กไฟสำหรับเสียบเครื่องโกนหนวด

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยน่าจะประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง ออกแบบเฉพาะห้องพักไว้เป็นมาตรฐาน แล้วขอให้ กทม. เทศบาลหรือ อบต. ผู้อนุญาตให้ก่อสร้างแนะนำให้เจ้าของโรงแรมสร้างใหม่และสถาปนิกผู้ออกแบบให้ นำไปปรับใช้

    จักรยานเป็นเรื่องที่โรงแรมทุกแห่งควรมีไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวจะได้ปั่นออกกำลังกายหรือท่องเที่ยวไปในเมือง แม้ว่าในปัจจุบันหลายโรงแรมได้ปฏิบัติแล้ว แต่บางแห่งก็ไม่มี

     เรื่องที่สามคือเรื่องไวไฟ (Wifi)


    ไวไฟบ้านเรานั้น เห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์กันเยอะว่าใช้ไวไฟฟรีในบางจุด แต่เข้าไปใช้แล้ว ปรากฏว่าใช้ไม่ได้หรอกครับ พอๆ กับไวไฟของโรงแรมบางแห่งนั่นแหละ ใช้อินเตอร์เน็ตธรรมดาดีกว่า

    แต่ภูมิใจที่สนามบินสุวรรณภูมิของเราได้รับยกย่องว่าเป็นสนามบินที่ให้บริการไวไฟแรงที่สุดในโลก

    ขอชื่นชมสายการบินนกแอร์บางเส้นทางและบางลำด้วยที่ได้เริ่มให้บริการไวไฟ ฟรีแล้ว สายการบินอื่นทั้งต้นทุนสูงและต้นทุนต่ำน่าจะนำมาเป็นตัวอย่างด้วยนะครับ

    ไปภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่นตอนนี้ มีบริการไวไฟให้นักท่องเที่ยวใช้ฟรีแล้ว นอกจากนั้น ในญี่ปุ่นยังให้เช่าไวไฟแบบพกพา (Pocket Wifi) วันละ 300 บาท ด้วย บ้านเรามีไวไฟพกพาขาย แต่ไม่มีบริการให้เช่า

    บริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของไทยน่าเปิดบริการให้เช่าไวไฟพกพากันได้แล้ว

     รถนำเที่ยวหลายประเทศที่ผู้เขียนพบคือตุรกี เวียดนามหรือลาว ก็มีไวไฟให้ใช้ฟรีด้วย เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการโรมมิ่งระหว่างประเทศ และเป็นที่น่ายินดีที่รถตู้นำเที่ยวบ้านเราบางคันก็มีแล้ว

     ประเทศอื่นเอาใจนักท่องเที่ยวกันขนาดนี้แล้ว ของเราก็ควรทำได้เช่นเดียวกัน

     เรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางของสายการบินต้นทุนต่ำ (Low cost airline)

     สายการบินต้นทุนต่ำนั้นต้องพยายามตัดรายจ่ายที่เป็นความสะดวกสบายของผู้ โดยสารออก เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และคิดค่าโดยสารได้ต่ำสุด หากผู้โดยสารต้องการความสะดวกมากขึ้นก็ต้องซื้อเพิ่ม

ดีไม่ดี ซื้อเพิ่มมากๆ เข้า สายการบินต้นทุนต่ำบางสายที่ว่าราคาถูกที่สุดอาจแพงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำ สายอื่นก็ได้ แต่ก็เอาเถิดครับ ไม่ว่ากัน เพราะผู้โดยสารบางคนต้องการประหยัดที่สุด อย่างอื่นไม่ต้องการ

ผู้เขียนขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่อยากให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่นก็คือน้ำหนักกระเป๋าที่ใส่ใต้ท้องเครื่องบิน ซึ่งสายการบินทั่วไปอนุญาตให้นำขึ้นได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม

แต่สายการบินต้นทุนต่ำหรือไม่ต้นทุนต่ำบางสาย ให้นำหนักกระเป๋าดังกล่าวได้เพียงไม่เกิน 15 กิโลกรัม เท่านั้น หรือบางสายไม่ให้เลย มีเพียงกระเป๋าที่หิ้วขึ้นเครื่องที่ไม่เกิน 7 กิโลกรัม
  
นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางมากับสายการบินต้นทุนต่ำของไทย ซึ่งสามารถนำโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม

     เมื่อใช้สายการบินต้นทุนต่ำในไทยซึ่งให้น้ำหนักเพียง 15 กิโลกรัม หรือบางสายไม่ให้เลย น้ำหนักที่เกิน 15 กิโลกรัม หรือเกินทั้ง 20 กิโลกรัม จะทำอย่างไร ให้เขาจ่ายเงินเพิ่มกระนั้นหรือ

     กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรประสานกับกระทรวงคมนาคม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้

     สายการบินต้นทุนต่ำจะแข่งขันเรื่องราคากันอย่างไร ไม่ว่าเรื่องอาหาร การบริการและความสะดวกสบายอื่นก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงน้ำหนักกระเป๋าให้ถือเป็นมาตรฐานทั่วไป คือไม่เกิน 20 กิโลกรัม ได้หรือไม่

     ผู้เขียนเห็นว่า หากส่วนราชการ บริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไปทุกฝ่ายร่วมใจกันส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งนอกจากการท่องเที่ยวไทยซึ่งให้บริการเป็นเลิศและนำเงินรายได้เข้าประเทศ สูงสุดแล้ว

    ยังสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศให้มากขึ้น พร้อมๆ กับความประทับใจและชื่นใจกับการท่องเที่ยวของไทยไปตลอดกาล

Cr  :   พุธทรัพย์ มณีศรี / บ้านเมือง
เว็บเกี่ยวข้อง : ไวไฟพกพา ( Pocket Wifi )

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

6 แนวทาง ‘ลด ละ เลี่ยง’ โรคความดันโลหิตสูง



 นพ.มงคล จิรสถาพร,โรคความดันโลหิตสูง,แนวทาง

โรคความดันโลหิตสูง จัดเป็นภัยซ่อนเร้นที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย

โรคความดันโลหิตสูง จัดเป็นภัยซ่อนเร้นที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว โรคไตวาย และโรคอัมพาต ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีอาการจนกว่าจะเกิด โรคแทรกซ้อนเหล่านี้ การตรวจวัดความดันสม่ำเสมอจะช่วยวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรกและ การควบคุมความดันโลหิตให้ได้ถึงเกณฑ์ปกติตั้งแต่เริ่มวินิจฉัย จะช่วยให้ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ดัง กล่าวข้างต้น นอกจากนี้การปรับพฤติกรรมความเคยชินบางอย่างในชีวิตประจำวันก็เป็นอีกวิธี ง่ายๆ ที่ช่วยให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน

นพ.มงคล จิรสถาพร อายุรแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่า ความดันโลหิตสูง หมายถึง แรงดันของเลือดที่กระทำต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งจะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับแรงบีบตัวของหัวใจของแต่ละคน ค่าความดันโลหิตที่วัดจากเครื่องวัดความดัน จะมี 2 ค่า คือ ความดันโลหิตตัวบน คือ แรงดันขณะหัวใจบีบตัว และ ความดันโลหิตตัวล่าง คือ แรงดันหัวใจขณะคลายตัว สำหรับค่าความดันโลหิตที่ปกติ คือความดันโลหิตตัวบน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 120 มม. ปรอท และความดันโลหิตตัวล่างน้อยกว่าหรือเท่ากับ 80 มม. ปรอท

แต่ถ้าวัดความดันโลหิตตัวบนได้มากกว่า 120 มม. ปรอท แต่ไม่เกิน 139 มม.ปรอท และ/ หรือความดันโลหิตตัวล่างมากกว่า 80 มม. ปรอท แต่ไม่เกิน 89 มม. ปรอท จะเรียกว่าเป็น ภาวะก่อนเกิดความดันโลหิตสูง ถ้าวัดความดันโลหิตตัวบนได้มากกว่า 140 มม. ปรอท ขึ้นไป และ/ หรือ ความดันโลหิตตัวล่างมากกว่า 90 มม.ปรอท จะเรียกว่า เป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ อาจตรวจพบโดยบังเอิญขณะไปตรวจรักษาโรคอย่างอื่น แต่ผู้ป่วยบางรายที่มีความดันโลหิตสูงมากๆ มักมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดที่ท้ายทอย หรือวิงเวียนศีรษะร่วมด้วยได้ และผู้ป่วยบางส่วนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงนานๆ อาจมาด้วยภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงได้ เช่น อาการหัวใจวายเฉียบพลัน, ไตวาย, เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบ

การรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่เริ่มเป็นหรือระดับความดันโลหิตยังสูงไม่มาก จะเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งถ้าหากผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้อย่าง สม่ำเสมอจะทำให้ความดันโลหิตกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ (ความดันโลหิตไม่เกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท) โดยไม่ต้องอาศัยการรับประทานยา นอกจากนี้ยังมีหลักการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความดันโลหิตสูง ง่ายๆ

1.ลดน้ำหนัก : ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่น้ำหนักเกิน หรืออ้วน การลดน้ำหนักลงจะได้ประโยชน์ในการลดความดันโลหิตมากการลดน้ำหนักลง 10 กิโลกรัมจะลดความดันโลหิตได้ 5 – 20 มิลลิเมตร
ปรอท ความจริงแล้วผลดีอื่นๆ ที่ได้จากการลดน้ำหนักมีมากกว่าการลดความดันโลหิต เช่น ป้องกันการเกิดเบาหวาน ภาวะหัวใจล้มเหลว ข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น ควรควบคุมไม่ให้ดัชนีมวลกาย ( BMI ) เกิน 24
กก./ตรม. ( ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / ส่วนสูง ( เมตร )2 )

2.หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม : เมื่อได้รับ " เกลือ " หรืออาหารรสเค็มต่างๆ ร่างกายจะดูดน้ำกลับเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น เป็นผลให้ปริมาณสารน้ำในร่างกายสูงขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้นและควบคุมได้ยาก
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มี รสเค็ม โดยไม่เติมเกลือ น้ำปลาหรือซีอิ๊วในอาหารอีก นอกจากนั้นควรงดผงชูรสหรืออาหารที่มีผงชูรสอยู่มากด้วย เนื่องจากผงชูรสมี เกลือโซเดียมเช่นกัน ไม่แนะนำให้ใช้เกลือเทียม
เช่น เกลือโพแทสเซียมแทนเกลือแกง เนื่องจากอาจเป็นอันตรายได้ในผู้ป่วยที่มีไตเสื่อม อาหารที่แนะนำนอกจากจะไม่เค็มแล้วควรจะเป็นอาหารที่พลังงานต่ำ และมีไขมันจากสัตว์น้อย เพิ่มการรับประทานปลาแทน
เนื้อหรือหมู และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงต่างๆ ขนมหวาน เน้นผักและผลไม้ที่ ไม่หวานจัดแทน

3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วๆ วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ครั้งละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยลดความดันโลหิตลงบ้างแล้วยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ควบคุมน้ำหนักได้ง่าย ไขมันคลอเรสเตอรอลชนิดดีเพิ่มขึ้น จิตใจแจ่มใส สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงมาก หรือผู้สูงอายุ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มออกกำลังกาย หากท่านไม่สามารถจัด
เวลาเพื่อออก กำลังกายได้ แนะนำให้ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ท่านทำอยู่แล้วแทน เช่น ใช้การเดินขึ้นบันไดแทนลิฟท์ เดินไปตลาดหรือ ทำงานบ้านด้วยตนเอง

4.งดบุหรี่ : การสูบบุหรี่มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วขณะ แม้ว่าการเลิกบุหรี่อาจไม่มีผลลดความดันโลหิตในระยะยาว แต่ไม่สูบบุหรี่จะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง มะเร็งอีก
หลายชนิด และยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของคนใกล้ชิดอีกด้วย

5.ลดแอลกอฮอล์ : แม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยๆ อาจช่วยเพิ่มไขมันคลอเรสเตอรอลชนิดดีได้บ้าง แต่ไม่แนะนำให้ดื่มเนื่องจากผลเสียของการดื่มแอกอฮอล์มีมากกว่าผลดีมากอย่า เชื่อ
โฆษณาที่แนะนำให้ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพ หากท่านดื่มอยู่แล้ว ก็ควรจำกัดปริมาณให้น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว

6.ลดความเครียด : เราไม่ควรเคร่งเครียดตลอดเวลา เพราะความเครียดถือเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นได้ ยิ่งในภาวะอากาศร้อนเช่นปัจจุบันอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนเกิด
ความ เครียด หงุดหงิด แนะนำให้ปล่อยวาง หากิจกรรม หางานอดิเรกที่เราชอบทำ เล่นกีฬา หรือทำสมาธิ พยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติ หากเครียดต้องรู้จักปล่อย ชีวิตก็จะเป็นสุข ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และคนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและลดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่หากหลังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ การรักษาโรคโดยการใช้ยาเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอหลังจากที่ ทราบว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง

Cr  :  bangkokbiznews
เว็บเกี่ยวข้อง : เครื่องมือวัดความดัน