รู้จักและเข้าใจกับตัวเลข...ความดันโลหิตของเรา
ต้นตอของโรคร้าย ที่ป้องกันได้
ปัจจุบันโรคความดันโลหิตสูง
นับเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่กำลังคุกคาม โดยในปัจจุบันมีประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็น
โรคความดันโลหิตสูง และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2568
ผู้มีภาวะความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านคน
สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขคาดว่า
จะมีผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือเป็น โรคความดันโลหิตสูง ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่ง
70% ของคนกลุ่มนี้ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะดังกล่าว
ทำให้ไม่ได้รับการรักษาหรือการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม
อันจะนำไปสู่การเกิดโรคแทรกซ้อนมากมาย อาทิ อัมพฤกษ์ อัมพาต
โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ด้วย
ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจและให้ความสำคัญกับตัวเลขความดันโลหิตของเรากันได้แล้ว
เพื่อความปลอดภัยและป้องกันภาวะการเจ็บป่วยฉุกเฉิน
สำหรับการวัดระดับความดันโลหิต
- ค่าตัวบนเรียกว่า ความดันโลหิตช่วงหัวใจบีบ (ความดันซิสโตลิก:systolic) หมายถึงความดันโลหิตเมื่อหัวใจบีบตัว
- ค่าตัวล่างเรียกว่า ความดันโลหิตช่วงหัวใจคลาย (ความดันไดแอสโตลิก:diastolic) หมายถึง ความดันโลหิตเมื่อหัวใจคลายตัว
โดยความดันโลหิตที่เรียกว่า
"เหมาะสม" ในผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80มม.ปรอท เรียกสั้น ๆ ว่า 120/80
โดยความดันโลหิตที่
"อยู่ในเกณฑ์ปกติ" คือ 120-129/80-84 มม.ปรอท
ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย
แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท
ความดันโลหิตสูง
คือ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า
(หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท
สาเหตุและอาการของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
เช่น อาหารรสเค็ม และส่วนน้อยเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย
ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็น ฆาตกรเงียบ
เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง
หรือแม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษา เพราะรู้สึกปกติ ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่าง ๆ
ตามมาภายหลัง
สำหรับการรักษา โรคความดันโลหิตสูง มี 2 ทางเลือกด้วยกัน คือ การใช้ยา
และไม่ใช้ยา ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็น
แพทย์จะสามารถรักษา โรคความดันโลหิตสูง ได้โดยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้ที่มีโรคแทรกซ้อนร่วมด้วย
แพทย์จะต้องให้ยาและพยายามควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ
ดังนั้นก่อนจะสายเกินไปเราควรป้องกันต้นตอของโรคร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น
โดยเพียงแค่ให้ความสำคัญกับอาหารการกิน หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์
เพียงเท่านี้ก็จะลดปัจจัยเสี่ยงได้ของภาวะอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น