วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บ้านใคร ใครก็รัก

ไวไฟพกพา

การท่องเที่ยวไทย : หลายฝ่ายควรช่วยกันส่งเสริมกันอย่างจริงจัง

ผู้เขียนเป็นคนที่ชอบการท่องเที่ยวมาก ได้ท่องเที่ยวไปแล้วทุกทวีปทั่วโลก ยกเว้นขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ สำหรับในประเทศไทยนั้นได้ท่องเที่ยวไปครบทุกจังหวัดแล้ว
   
ได้เห็นสิ่งดีๆ หลายอย่าง และในประเทศไทยนั้น มีสิ่งที่สวยงามและน่าสนใจเยอะมาก แหล่งท่องเที่ยวหลายต่อหลายแห่งในไทยสามารถขายได้แม้กระทั่งนักท่องเที่ยว ไทยด้วยกัน

    ดังนั้น นอกจากเจ้าของพื้นที่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะช่วยกันตีปี๊บ รวมทั้งหาทางให้เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ แล้ว คนไทยทุกคนต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวด้วย

     ผู้เขียนได้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของไทย โดยใช้เฟซบุ๊ค (Facebook) ส่วนตัวของผู้เขียนอยู่เป็นประจำ

     แหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งซึ่งผู้เขียนประทับใจมาก คือที่ผาช่อ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติแม่วาง หลายคนเรียกขานว่าเป็นแกรนด์แคนยอนเมืองไทย

     ผาช่อเป็นหน้าผาสูงชันที่เชื่อว่าเกิดจากการกัดเซาะของลมฝนนานนับร้อยนับ พันปี ลักษณะคล้ายกำแพงและเสาหินขนาดใหญ่ลวดลายแปลกตา สูงใหญ่ราว 30 เมตร เป็นบริเวณกว้างนับร้อยเมตร

     ถ่ายภาพลงเฟซบุ๊คของผู้เขียนแล้ว เพื่อนๆ หลายคนชื่นชอบ ไม่เคยไปและอยากไปเที่ยวกันทั้งนั้น

     ใช้เวลาในการเดินทางจากเชียงใหม่ไม่ถึงชั่วโมง อยู่ห่างจากถนนเชียงใหม่-ฮอด 12.5 กิโลเมตร ทางเข้าผาช่อเป็นทางราดยาง 7.5 กิโลเมตร และทางลูกรัง 5 กิโลเมตร

    เป็นไปได้ไหมครับ ที่กรมอุทยานฯ จะใช้เงินเข้าชมจากอุทยานแห่งชาติอื่นนำมาสร้างทางราดยางเฉพาะส่วนที่เป็น ลูกรัง 5 กิโลเมตร เพื่อนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางเข้า-ออกด้วยความสะดวกสบาย

    แต่ไม่จำเป็นต้องขยายถนนนะครับ เลนเดียวแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ เพียงพอแล้วครับ

    จากที่ทำการของกรมอุทยานฯ ด้านบน เดินลงมาเพียง 100 เมตร ตรงนี้คงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรครับ แม้จะเดินยากก็เดินได้ และผู้ที่กลัวกับการเดินลงก็มีทางเลือกให้เดินจากลานจอดรถเข้าไปได้

    ทางเดินเข้าผาช่อแม้ไม่สะดวกนัก แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขออย่างเดียวครับ ช่วยขยายทางขาออกให้กว้างอีกนิดก็จะช่วยให้นักท่องเที่ยวที่เจ้าเนื้อซัก หน่อยจะได้เดินออกมาโดยไม่ลำบากมากนัก

     ผาช่อสวยงามมากๆ ยังตรึงตาตรึงใจผู้เขียนจนถึงวันนี้ แต่ในวันที่ผู้เขียนไปเยี่ยมชมนั้น มีนักท่องเที่ยวเฉพาะชาวไทยไปเยี่ยมชมไม่ถึงเลข 2 หลัก

     หากจังหวัดเชียงใหม่และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะช่วยประชาสัมพันธ์ผา ช่อให้มากกว่านี้ ก็จะทำให้ความสวยงามของผาช่อเป็นที่เลื่องลือ และมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศไปเยี่ยมชมกันมากขึ้น

     แน่นอนครับ ย่อมทำให้เศรษฐกิจของพื้นที่ใกล้เคียงและของจังหวัดเชียงใหม่ในภาพรวมดีขึ้น

     นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการช่วยกันส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยนะครับ

    แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่สวยงามและยังเข้าถึงโดยสะดวกซึ่งยังมีอีกมาก ก็คงทำได้เช่นเดียวกัน

    นอกจากเรื่องการพัฒนาการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวและการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ แล้ว จากประสบการณ์ของผู้เขียนเห็นว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่หลายฝ่ายควรหาทางช่วย กันส่งเสริม

    เรื่องแรกคือเรื่องการบริหารจัดการ หลายแห่งมีของดีอยู่กับมือแล้วแต่บริหารไม่เป็น

    บ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง สร้างไว้อย่างดี ทั้งสระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำส่วนตัว และอื่นๆ อีก แต่เมื่อเข้าไปไม่มีผู้ใดคอยบริการทั้งๆ ที่อยู่ในเวลาการบริการ (ตามป้าย) โทรศัพท์สอบถาม แต่ได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่กลับแล้ว

     สวนสัตว์เปิดบางแห่งก็มีสัตว์ป่าหายากหลายชนิด แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปชม

     สิ่งเหล่านี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคงให้การช่วยเหลือได้ โดยสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสำรวจข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว พร้อมศึกษาวิธีบริหารจัดการ หากไม่ดีก็ควรแนะนำและหาทางช่วยเหลือ

    เรื่องที่สองคือโรงแรม บางโรงแรมเจ้าของหรือสถาปนิกคงอาจไม่เคยพักที่โรงแรมดีๆ ที่อื่น

     จึงไม่ทราบว่าสวิตช์ไฟและปลั๊กไฟควรมีเท่าไร อยู่ตรงไหนที่ให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวมากที่สุด

     บางแห่งสวิตช์ไฟอยู่บนกำแพง ดับไฟแล้วต้องเดินคลำไปหาเตียง ในห้องน้ำก็ไม่มีปลั๊กไฟสำหรับเสียบเครื่องโกนหนวด

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยน่าจะประสานกรมโยธาธิการและผังเมือง ออกแบบเฉพาะห้องพักไว้เป็นมาตรฐาน แล้วขอให้ กทม. เทศบาลหรือ อบต. ผู้อนุญาตให้ก่อสร้างแนะนำให้เจ้าของโรงแรมสร้างใหม่และสถาปนิกผู้ออกแบบให้ นำไปปรับใช้

    จักรยานเป็นเรื่องที่โรงแรมทุกแห่งควรมีไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวจะได้ปั่นออกกำลังกายหรือท่องเที่ยวไปในเมือง แม้ว่าในปัจจุบันหลายโรงแรมได้ปฏิบัติแล้ว แต่บางแห่งก็ไม่มี

     เรื่องที่สามคือเรื่องไวไฟ (Wifi)


    ไวไฟบ้านเรานั้น เห็นโฆษณาประชาสัมพันธ์กันเยอะว่าใช้ไวไฟฟรีในบางจุด แต่เข้าไปใช้แล้ว ปรากฏว่าใช้ไม่ได้หรอกครับ พอๆ กับไวไฟของโรงแรมบางแห่งนั่นแหละ ใช้อินเตอร์เน็ตธรรมดาดีกว่า

    แต่ภูมิใจที่สนามบินสุวรรณภูมิของเราได้รับยกย่องว่าเป็นสนามบินที่ให้บริการไวไฟแรงที่สุดในโลก

    ขอชื่นชมสายการบินนกแอร์บางเส้นทางและบางลำด้วยที่ได้เริ่มให้บริการไวไฟ ฟรีแล้ว สายการบินอื่นทั้งต้นทุนสูงและต้นทุนต่ำน่าจะนำมาเป็นตัวอย่างด้วยนะครับ

    ไปภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่นตอนนี้ มีบริการไวไฟให้นักท่องเที่ยวใช้ฟรีแล้ว นอกจากนั้น ในญี่ปุ่นยังให้เช่าไวไฟแบบพกพา (Pocket Wifi) วันละ 300 บาท ด้วย บ้านเรามีไวไฟพกพาขาย แต่ไม่มีบริการให้เช่า

    บริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของไทยน่าเปิดบริการให้เช่าไวไฟพกพากันได้แล้ว

     รถนำเที่ยวหลายประเทศที่ผู้เขียนพบคือตุรกี เวียดนามหรือลาว ก็มีไวไฟให้ใช้ฟรีด้วย เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการโรมมิ่งระหว่างประเทศ และเป็นที่น่ายินดีที่รถตู้นำเที่ยวบ้านเราบางคันก็มีแล้ว

     ประเทศอื่นเอาใจนักท่องเที่ยวกันขนาดนี้แล้ว ของเราก็ควรทำได้เช่นเดียวกัน

     เรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางของสายการบินต้นทุนต่ำ (Low cost airline)

     สายการบินต้นทุนต่ำนั้นต้องพยายามตัดรายจ่ายที่เป็นความสะดวกสบายของผู้ โดยสารออก เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และคิดค่าโดยสารได้ต่ำสุด หากผู้โดยสารต้องการความสะดวกมากขึ้นก็ต้องซื้อเพิ่ม

ดีไม่ดี ซื้อเพิ่มมากๆ เข้า สายการบินต้นทุนต่ำบางสายที่ว่าราคาถูกที่สุดอาจแพงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำ สายอื่นก็ได้ แต่ก็เอาเถิดครับ ไม่ว่ากัน เพราะผู้โดยสารบางคนต้องการประหยัดที่สุด อย่างอื่นไม่ต้องการ

ผู้เขียนขอเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ที่อยากให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่นก็คือน้ำหนักกระเป๋าที่ใส่ใต้ท้องเครื่องบิน ซึ่งสายการบินทั่วไปอนุญาตให้นำขึ้นได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม

แต่สายการบินต้นทุนต่ำหรือไม่ต้นทุนต่ำบางสาย ให้นำหนักกระเป๋าดังกล่าวได้เพียงไม่เกิน 15 กิโลกรัม เท่านั้น หรือบางสายไม่ให้เลย มีเพียงกระเป๋าที่หิ้วขึ้นเครื่องที่ไม่เกิน 7 กิโลกรัม
  
นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เดินทางมากับสายการบินต้นทุนต่ำของไทย ซึ่งสามารถนำโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม

     เมื่อใช้สายการบินต้นทุนต่ำในไทยซึ่งให้น้ำหนักเพียง 15 กิโลกรัม หรือบางสายไม่ให้เลย น้ำหนักที่เกิน 15 กิโลกรัม หรือเกินทั้ง 20 กิโลกรัม จะทำอย่างไร ให้เขาจ่ายเงินเพิ่มกระนั้นหรือ

     กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรประสานกับกระทรวงคมนาคม เพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้

     สายการบินต้นทุนต่ำจะแข่งขันเรื่องราคากันอย่างไร ไม่ว่าเรื่องอาหาร การบริการและความสะดวกสบายอื่นก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงน้ำหนักกระเป๋าให้ถือเป็นมาตรฐานทั่วไป คือไม่เกิน 20 กิโลกรัม ได้หรือไม่

     ผู้เขียนเห็นว่า หากส่วนราชการ บริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไปทุกฝ่ายร่วมใจกันส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งนอกจากการท่องเที่ยวไทยซึ่งให้บริการเป็นเลิศและนำเงินรายได้เข้าประเทศ สูงสุดแล้ว

    ยังสามารถเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศให้มากขึ้น พร้อมๆ กับความประทับใจและชื่นใจกับการท่องเที่ยวของไทยไปตลอดกาล

Cr  :   พุธทรัพย์ มณีศรี / บ้านเมือง
เว็บเกี่ยวข้อง : ไวไฟพกพา ( Pocket Wifi )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น