วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

จิม แคร์รีย์ ช็อก! แฟนสาวฆ่าตัวตายที่บ้านพักในแอลเอหลังทวีตข้อความลาตาย

 จิม แคร์รีย์ ดาราตลกคนดังแห่งฮอลลีวู้ดเจอข่าวสุดช็อกเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจพบศพแฟนสาว ของเขา แคธริโอนา ไวท์ ชาวไอร์แลนด์ที่บ้านพักในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา และเชื่อว่าเธอฆ่าตัวตายหลังโพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ พร้อมทิ้งโน้ตลาตายไว้



รายงานข่าวระบุว่า ตำรวจแอลเอพบศพของ แคธริโอนา ไวท์ ที่บ้านพักของเธอเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในเวลา 20.40 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยสาววัย 28 ปีได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ และเขียนด้วยว่าเธอและจิม แคร์รีย์ แฟนหนุ่มรุ่นใหญ่เพิ่งจะเลิกรากันไปเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา

 ขณะที่ช่วงเช้าวันที่ 25 ก.ย. เธอยังได้ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ว่า เธอขอยุติการเขียนทวิตเตอร์แต่เพียงเท่านี้ เธออยากเป็นแสงสว่างแก่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและเป็นที่รักที่สุดของเธอ


 โดยในจุดเกิดเหตุตำรวจยังพบยาเม็ดจำนวนหนึ่งตกอยู่ข้างศพ ทำให้เชื่อว่าเธอได้ตัดสินใจกินยาเกินขนาด เพื่อฆ่าตัวตาย ซึ่งเพื่อนของเธอสองคนเป็นผู้พบศพเป็นคนแรก

 ด้าน จิม แคร์รีย์ ล่าสุดได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยระบุว่า “รู้สึกช็อกและเสียใจอย่างที่สุดต่อการจากไปของแคธริโอนา เธอเป็นคนที่จิตใจดี เป็นเหมือนดอกไม้จากไอริชที่แสนบอบบาง จนอาจจะอ่อนไหวเกินไปสำหรับผืนดินแห่งนี้ ผมขอส่งกำลังใจไปให้ครอบครัวของเธอ และเพื่อนที่รัก และห่วงใยเธอด้วย เราทุกคนเหมือนโดนฟ้าผ่าไปพร้อมๆ กัน”

 สำหรับจิม แคร์รีย์ วัย 53 ปี เริ่มคบหากับสาวไอริช แคธริโอนา ไวท์ เมื่อปี 2012 แต่ออกเดตกันแค่ไม่กี่เดือนก็ตัดสินใจแยกทางกัน ก่อนกลับมาคบกันอีกรอบเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน แคธริโอนา เพิ่งฉลองวันเกิดของเธอที่ร้านอาหารหรูในมาลิบู









ภาพประกอบจาก The Mirror
Cr  :  ข่่าวสด

ซุปเปอร์ฮีโร่ กล้องวงจรปิด

ซุปเปอร์ฮีโร่ กล้องวงจรปิด

ในยุคที่สังคมไทย โดยเฉพาะในเมืองหลวงหรือตัวเมืองของแต่ละจังหวัด ฝากแขวนชีวิตไว้กับความสุ่มเสี่ยง จากน้ำมือคนที่คิดไม่ดี  ขโมยขโจรต่าง ๆ นาๆ ที่ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้บริสุทธิ์และทรัพย์สินผู้ที่ทำมาหากินโดยสุจริต ...ถ้าเป็นหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ อยากได้ชีวิตที่อุ่นใจ คงต้องหันไปพึ่ง “แบทแมน” “ซุปเปอร์แมน” ไม่ก็ “สไปเดอร์แมน” แต่ในชีวิตจริง พระเอกตัวจริงของโลกยุคนี้ คงต้องหันไปพึ่ง กล้องวงจรปิด (CCTV Camera)!!!

เพราะ ด้วยมันเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยแจ้งเบาะแสให้ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง สามารถไขคดี ตามสะกดรอย และตามจับโจรหรือคนไม่ดีทั้งหลาย มาลงโทษตามกฎหมายมานักต่อนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ทั่ว กทม. มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆรวมทั้งสิ้นมากกว่า 1 ล้านเครื่อง (ทั้งที่ใช้ได้ และใช้ไม่ได้) หรือแม้นแต่ตามต่่างจังหวัดที่เขาพอมีงบหน่อยก็จะลงทุนติดตั้งกล้องวงจรปิด กัน เป็นหูเป็นตาแทนเรา ๆ ที่นี้มาลองดูครับว่า กล้องที่ทำหน้าที่เป็นซุปเปอร์ฮีโรของเรา เป็นอย่างไรกันบ้างครับ

หลัก การทำงานของ กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) อาศัยวิธีส่ง สัญญาณภาพ ไปยังอุปกรณ์ปลายทาง เช่น เครื่องบันทึกภาพ หรือจอภาพของคอมพิวเตอร์ โดยจะทำการ จับภาพไปยังพื้นที่เฉพาะจุด เท่านั้น ซึ่งต่างจากระบบการกระจายสัญญาณภาพของโทรทัศน์ ที่ใช้หลักการกระจายภาพทางอากาศผ่านไปยังพื้นที่ต่างๆ ซึ่งสัญญาณภาพสามารถกระจายไปถึงทุกวันนี้กล้องวงจรปิดจึงเปรียบเสมือน กล่องดวงใจ ของแหล่งธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ธนาคาร สถานที่ราชการ สนามบิน โรงงาน โรงแรม ที่พักอาศัย หรือที่ใดก็ตามที่คาดว่าจะมีโจร...

ก่อน หน้านี้แหล่งข่าวระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)รายหนึ่งออกมาเปิดเผย โดยคาดว่า ในปี 2558 นี้ อัตราเติบโตหรือยอดขายกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ จะเพิ่มขึ้นจากอัตราเติบโตปกติเฉลี่ยปีละ 10-15% เพิ่มขึ้นมาเป็น 20% หรือคิดเป็นมูลค่าทางการตลาด อยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท

ปัจจัย หลักที่ทำให้กกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)กลายเป็นสินค้าเนื้อหอม ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกรณีเหตุลอบวางระเบิดที่ย่านราชประสงค์ กับกรณีปัญหาความไม่สงบที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งการขยายตัวของบางธุรกิจ ที่ต้องพึ่งกล้องวงจรปิด

อย่างไรก็ ตาม ทุกวันนี้มีกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)มากมายหลายประเภท หลายคนที่กำลังมองหาอุปกรณ์ชนิดนี้มาเพิ่มความอุ่นใจให้แก่ชีวิต อาจสับสน จนเลือกไม่ถูกว่าควรเลือกใช้แบบใด จึงจะเหมาะแก่ตัวเองที่สุด

เพื่อ เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังศึกษาและหาอุปกรณ์ชนิดนี้ไปติดตั้ง ขออนุญาตนำข้อมูลจาก เชียงใหม่อินเตอร์เทค แอนด์ ซีเคียวริตี้ แหล่งจำหน่ายกล้องวงจรปิด (CCTV Camera)และระบบกันขโมยชั้นนำ และ Dahua Total Security จาก Dahua Solution Tecnology Product ซึ่งเผยแพร่ไว้ในอินเตอร์เน็ตมาให้ความรู้

สิ่งแรกที่ควรคำนึง ก็คือ กล้องวงจรปิด (CCTV Camera)ถือเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของระบบ CCTV เพราะถ้าตัวกล้องไม่สามารถจับภาพได้หรือจับได้แต่ไม่ชัด...ก็แทบจะถือได้ว่า ระบบ CCTV ที่มีอยู่นั้น ไร้ประสิทธิภาพ เพราะต่อให้คุณมีระบบบันทึกภาพ (DVR) ดีเลิศแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไร

โดยทั่วไปกล้องวงจรปิดที่ได้รับความนิยม แบ่งออกเป็น 4-5 ประเภทด้วยกัน

1.กล้อง มาตรฐาน (Standard Camera) ส่วนใหญ่มักเป็นรูปทรงกระบอกนิยมใช้ติดตั้งภายในอาคาร กล้องชนิดนี้เหมาะใช้กับในพื้นที่ซึ่งมีแสงสว่างตลอดเวลา จุดเด่นของกล้องชนิดนี้อยู่ที่ สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ (ราคากล้องจึงไม่ได้รวมราคาเลนส์เข้าไปด้วย) และบางรุ่นอาจมีไมโครโฟนสำหรับบันทึกเสียงในตัว

2. กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบอินฟราเรด (Infarred Camera) จุดเด่นอยู่ที่สามารถจับภาพในที่มืดสนิทได้ ตัวกล้องทำจากวัสดุทนทาน กันน้ำได้ จึงสามารถนำไปติดภายนอกอาคารได้ แต่การเลือกกล้องชนิดนี้ควรเลือกตามระยะของอินฟราเรด เช่น กล้องที่มีระยะอินฟราเรด 10 เมตร 20 เมตร หรือระยะอื่นๆตามความจำเป็นที่ต้องใช้

3.กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบโดม (Dome Camera) เป็นกล้องที่มีรูปลักษณ์ครึ่งวงกลมคล้ายโดม กล้องชนิดนี้เหมาะกับพื้นที่ซึ่งต้องการความสวยงาม เพราะติดตั้งแล้วดูเรียบร้อยไม่สะดุดตา จุดเด่นนอกจากอยู่ที่ตัวกล้องสามารถป้องกันการโยนผ้าปิดหน้ากล้องได้ ยังสามารถหมุนปรับมุมกล้องได้รอบตัว หรือ 360 องศา

กล้องโดมเหมาะใช้ ติดตั้งภายในห้องโถง หรือตามออฟฟิศต่างๆ แบ่งเป็นแบบกล้องโดมธรรมดาและกล้องโดมแบบอินฟราเรด โดยกล้องโดมธรรมดาจะมีโหมด D/N สำหรับสลับดูภาพในตอนกลางวัน เป็นภาพสี และตอนกลางคืนเป็นภาพขาวดำ ส่วนกล้องโดมแบบมีอินฟราเรดในตัว สามารถมองเห็นในที่มืดสนิทได้ โดยมีระยะการมองผ่านทั่วไป อยู่ที่ประมาณ 15-20 เมตร

4.กล้องวงจรปิด (CCTV Camera) แบบสปีดโดม (Speed Dome Camera) เป็นกล้องที่สามารถหมุนรอบตัวเองได้ ก้มเงยได้ ซูมขยายภาพได้ มีทั้งชนิดที่เป็นแบบติดภายนอกอาคาร และติดตั้งภายในอาคาร ควรติดตั้งกล้องวงจรปิดชนิดนี้เพื่อตรวจตราบริเวณโดยรอบของพื้นที่ การสั่งการหรือควบคุมกล้องวงจรปิดประเภทนี้ ต้องสั่งโดยเครื่องบันทึกหรือสั่งจากคีย์บอร์ดควบคุม

ในอนาคตกล้อง ระบบไอพี IP (กล้อง IP Camera) น่าจะเข้าแทนที่ระบบเดิมทั้ง 4 แบบ ซึ่งบางประเภทยังเป็นระบบอนาล็อกที่ใช้สายสัญญาณทั่วไป เพราะด้วย IP มีความสามารถสูงในการส่งสัญญาณภาพออกมาได้คมชัดมากกว่า

กล้องวงจร ปิด (CCTV Camera) แบบไอพี หรือ กล้อง IP Camera นั้นเอง กล้องชนิดนี้ได้รวมเอา Network Card ไว้ในตัวกล้องเป็น Web Server ในตัว มีทั้งแบบ ใช้สาย (wired) และไร้สาย (wireless) เป็นกล้องดิจิตอลที่สามารถควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือหรือ สมาร์ทโฟนได้โดยตรง สามารถทำการบันทึกที่คอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ที่ต่ออยู่ในวง LAN หรือ WAN หรือบันทึกลงที่ Network Video Recorder (NVR) ได้เช่นเดียวกัน

อีกประเภทหนึ่งที่กำลังจะมาแรง คือ กล้องจิ๋ว หรือ กล้องซ่อนตัวได้ (Hidden Camera) จุดประสงค์หลักเพื่อใช้ซ่อน เพื่อไม่ให้มองเห็นว่ามีกล้องติดตั้งอยู่จุดใดบ้าง บางครั้งจึงเรียกว่า “กล้องรูเข็ม หรือ  กล้องจิ๋ว” ส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาด ความละเอียดภาพไม่ค่อยสูงนัก รูปแบบโครงสร้างแตกต่างกันไป เช่น Minicam กล้องปากกา กล้องพวงกุญแจ กล้องนาฬิกาข้อมือ กล้องวีดีโอจิ๋ว ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อ บนโต๊ะ ในรถยนต์ ในสำนักงาน หรือในอุปกรณ์ดับไฟไหม้ (Smoke Detector) เป็นต้น

จริงอยู่ในโลกนี้ไม่มีอะไรหวังผลได้เต็มร้อย แต่อย่างน้อยถ้าหลายพื้นที่พร้อมใจกันติดตั้งกล้องวงจรปิด ก็ไม่ต่างกับสังคมไทยมี “ตาวิเศษ” ไว้ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องทุกหย่อมหญ้ามากขึ้นไม่ว่าจะเป็น แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ธนาคาร สถานที่ราชการ สนามบิน โรงงาน โรงแรม ที่พักอาศัย.

Cr.ไทยรัฐ

5 ข้อคิด จากการที่ผมใกล้ชิดคนรวย


 5 ข้อคิด จากการที่ผมใกล้ชิดคนรวย
คนรวยเขามองเรื่องนี้ยังไงนะ?
คนรวยนี่ เขาขี้โกงแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า?
คนรวยเขามองเห็นหัวคนจนอย่างพวกเราบ้างไหมหนอ?

อาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีโอกาสถามจากปากของเขาเหล่านั้นตรงๆ การได้เข้าใจความคิดของผู้มีฐานะทางสังคมเหล่านี้ เราจึงทำได้แค่อ่านตามหนังสือที่วางขายอยู่ ซึ่งครั้นจะไปไล่อ่านให้หมดทุกคน มันก็ดูจะเสียเวลาไปซักหน่อย วันนี้ผมเลยขออาสากลั่นความคิดของคนรวย จากที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในฐานะของที่ปรึกษาการลงทุนกลุ่มลูกค้าธนบดี มาร่วมๆ 10 ปี แชร์ด้านดีๆที่เราน่าจะสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้นะครับ

1. เขารู้ว่าตัวเองถนัดอะไร
เพราะคนส่วนใหญ่ตามหาไปเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไร ทำให้ไม่สามารถเลือกทางเดินชีวิตได้เอง ต่างจากนักลงทุนที่ผมดูแลเงินของเขา ซึ่งพบจุดร่วมที่สำคัญคือ เขาเอาเงินมาให้เราดูแล ก็เพราะเขารู้ว่าเขาถนัดอะไร และเราถนัดอะไร เขาจะใช้เวลาให้มากกับสิ่งที่เขารักและถนัด ในขณะที่สิ่งที่เขาไม่ถนัด แต่คิดว่าจำเป็น เขาก็ให้คนที่ไว้ใจ เชื่อในความสามารถเป็นคนดูให้แทน
ปัญหาคือ กระบวนการค้นหาสิ่งที่ตัวเองถนัดของคนรวยแต่ละคนนั้น ค่อนข้างแตกต่างกันครับ ไม่มีกฎตายตัว บางก็ก็จับพลัดจับพลูได้ทำธุรกิจที่ไม่เคยทำ แล้วกลับหลงรักมันขึ้นมา ในขณะที่บางคน รักที่จะค้นหาสิ่งใหม่ๆทำไปเรื่อยๆ ถึงผิดบ้าง ขาดทุนบ้าง ก็ไม่ท้อแท้อะไร โดยคิดว่าประสบการณ์ที่ได้ไป ยังไงก็ไม่สูญเปล่า ซึ่งมันก็จริง ย้อนกลับมาดูตัวเราครับ ถ้าวันนี้เรายังไม่เจอสิ่งที่ตัวเองถนัด เราทำให้ตัวเองเข้าใกล้คำๆนี้มากขึ้นด้วยวิธีไหน? น่าคิดนะ

2. เขาอ่านเยอะมากกกกก
มนุษย์เงินเดือน อาจจะวัดความสำเร็จของตัวเองด้วยขนาดของทีวีที่บ้าน แต่สำหรับคนรวย ผมเห็นบ้านเขามีห้องหนังสือใหญ่ๆหนึ่งห้องเลย บางคนอาจบอกว่า จะมีเวลาอ่านได้ยังไง เวลาส่วนใหญ่ก็น่าจะยุ่งมากอยู่แล้ว แต่จากที่ได้พูดคุยได้สนทนากันทั้งในเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ และการลงทุนต่างๆ รวมถึงความเป็นไปรอบตัว
ผมกลับพบว่า มันไม่ใช่การไปอัพเดทข่าวสาร แต่เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกันมากกว่า เลยทำให้ผมมั่นใจว่า เขาต้องอ่าน และหาทางเสพข่าว รวมถึงเติมความรู้ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลาแน่นอน แล้วเราละ นอกจากเปิดอ่านชีวิตและความเป็นไปของเพื่อนๆใน Facebook ติดตามข่าวดราม่าดาราแบบวินาทีต่อวินาที เราเพิ่มเติมความรู้ยังไงครับ?

3. เขาฟังเยอะ พูดน้อย
นอกจากเรื่องอ่านเยอะแล้ว สิ่งที่ผมได้จากคนรวยอีกเรื่องก็คือ เกือบทุกคนเลือกที่จะฟังก่อนที่จะพูด สิ่งนี้เป็นเหตุเป็นผลนะครับ เมื่อฟังก่อน ก็จะได้ข้อมูลใหม่ๆ ได้ใช้ความคิดให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจอะไรไป มันอาจจะขัดกับสิ่งที่เด็กสมัยนี้คิด นั้นก็คือ ต้องกล้าแสดงออก ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น
แต่กลายเป็นว่า คนรวยส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นบ่อยนัก จริงๆ มันไม่ขัดกันนะครับ เพราะเขาอยู่ในระดับที่ต้องเก็บข้อมูลและตัดสินใจในสิ่งสำคัญๆ แต่สำหรับเหล่าพนักงานนั้น การโยนความคิดเห็นเข้าไปกลางวงประชุม คือการแสดงความเห็นให้คนอื่นๆทราบ ทำให้เรามีตัวตนในองค์กร อย่าลืมนะครับ สมัยนี้ เก่งแล้วต้องให้คนอื่นรู้ เก่งเงียบๆ นายเค้าไม่เห็นหรอก

4. เขาลำบากมากกว่าที่เราเห็น และล้มเหลวมาเยอะกว่าที่เราคิด
ฉากหน้าของความสำเร็จมักจะดูดีเสมอ สิ่งที่ผมเห็นคือ บ้านหลังใหญ่ๆ รถสปอร์ต 5-6 คัน ไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 3-4 ครั้ง สิ่งเหล่านั้นคือผลลัพธ์จากการทำงานอย่างหนัก ผมไม่เคยเจอคนรวยที่ไม่ลำบาก และทุกๆคนล้วนเคยประหยัด ขยันขันแข็ง เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยจนมีวันนี้ บางคนอดทนเป็นลูกจ้างไม่ต่ำกว่า 20-30 ปี กว่าจะมีเงินเก็บออกมาตั้งกิจการของตัวเอง คนเหล่านี้ ถึงเริ่มช้า แต่ทว่า ก็ด้วยความมั่นคง เพราะรู้ลึกรู้จริงในธุรกิจซึ่งตัวเองเคยเจอมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
ในขณะที่บางคน ล้มเหลวมาแล้ว 3-4 ครั้ง ทั้งที่เพื่อนโกง โดนชักดาบ ขายของไม่ได้เพราะเศรษฐกิจพัง แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาหาอะไรทำ เพราะจำเป็นต้องเลี้ยงครอบครัว เรียกได้ว่า เพราะหลังชนฝานั้นเองและที่เขาใช้เงินได้เยอะในวันนี้ มันก็เป็นเหตุผลครับ สมมติว่า เขามีเงินในกองทุนรวมตราสารหนี้ซัก 200 ล้านบาท ผลตอบแทนปีละ 3% ก็เท่ากับได้มาใช้ 6 ล้านบาท หรือใช้ได้เดือนละ 5 แสน เงิน 5 แสนอาจจะดูมากสำหรับเรา แต่มันคือเงินน้อยสำหรับเขา เพราะใช้ไปยังไงเงินต้นเขาก็ยังไม่ได้ลดลง และยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง (แต่กว่าจะได้ 200 ล้านเนี่ย ลากเลือดครับ)

5. เขามีวิธีคิดที่เหมือนกันในการต่อต้านความจน ก็คือ การสร้างสินทรัพย์
เราถูกสอนว่าควรประหยัด เพราะเงิน 1 บาที่เราไม่ใช่ มันเท่ากับรายได้ 1 บาท ที่เราหาได้ แต่การประหยัดนั้น มันไม่ทำให้เราใช้ประโยชน์จากอาวุธที่มีอนุภาพมากที่สุดในโลก นั้นก็คือ “ดอกเบี้ยทบต้น” เขาเหล่านี้รู้สูตรลับความสำเร็จจะด้วยความบังเอิญ หรือรุ้จริงๆตั้งแต่วันที่ตั้งใจก็ตาม แต่เขาจะพยายามอดออม และแบ่งเงินเหล่านั้นออกมาลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกิจการที่ตนเชื่อว่าจะไปได้ดี หรือไปลงทุนในที่ๆคิดว่าให้ผลตอบแทนสูง (เลยเป็นที่มาที่เขาเดินเข้ามาหาที่ปรึกษาการลงทุน)
เหตุผลนี้ มันเลยชัดเจนครับว่า เศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวใน 1-2 ปีข้างหน้า เพราะเศรษฐีทั้งหลายมองไม่เห็นช่องทางการลงทุนในธุรกิจและหันเอาเงินมาให้ เหล่านักการเงินทั้งหลายบริหาร จัดพอร์ตไปลงทุนในที่ต่างๆในระยะหลัง
แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหน หรือในอนาคตเขาจะเอาเงินกลับไปลงทุน วัตถุประสงค์ของเขาก็คือ การสร้างสินทรัพย์เพื่อต่อยอดเงินให้กับลูกหลานต่อไปในอนาคต
คนเรามีทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านที่ดีของเขา เราก็ปรับเอามาใช้กับตัวเองนะครับ ความสำเร็จมันไม่มีรูปแบบตายตัว ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็พอมีลายแทงให้เดินตาม ผมเชื่อว่า เมื่อเราพยายามสู้กับทุกปัญหา มองโลกในแง่ดี และหาโอกาสในรอบๆตัวให้เจอ ไม่ต้องรวยมากหรอกครับ ความสุขมันก็โชยขึ้นมาเบาๆแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

สมเด็จพระบรมฯ จะทรงนำปั่นจักรยานเพื่อพ่อ “Bike For Dad” 11 ธ.ค.นี้

หลังจากประสบผลสำเร็จอย่างท่วมท้น สำหรับกิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครบ 83 พรรษา จนสร้างความปลาบปลื้มปิติให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศแล้วนั้น

ปั่นเพื่อพ่อ, หมอหยอง, Bike For Dad

วันนี้ (27 ก.ย.2558) เฟคบุ๊คของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ “หมอหยอง” ซึ่งเคยรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการจัดกิจกรรมพิเศษ Bike For Mom ปั่นเพื่อแม่ เปิดเผยกำหนดการอย่างเป็นทางการของกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” กิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสคล้ายวันเฉลิมพระชนม์พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 88 พรรษา ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 เวลา 15.00 น. ระบุว่า
“@หลอมใจให้เป็นหนึ่ง..บอกรักพ่อให้ก้องโลก 11 ธันวาคมนี้..กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติถวายพระราชสดุดีพ่อของแผ่นดิน…บนเส้นทาง สิริมงคลทั่วประเทศ….”
โดยกิจกรรมครั้งสำคัญนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะทรงนำคนไทยทั่วประเทศปั่นจักรยานอีกครั้งเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งใช้เส้นทางเร่ิมที่ลานพระรูปทรงม้า ส่วนเส้นทาง เสด็จฯ อยู่ระหว่างการวางแผน แต่จะเป็นเส้นทางสิริมงคล คงยังใช้ถนนราชดำเนิน และจะข้ามสะพานปิ่นเกล้า โดยจะไปที่เยาวราชและผ่านแยกราชประสงค์ โดยประชาชนสามารถติดตามข่าวสาร ได้ที่ www.bikefordad2015.com หรือโทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ 1122

Cr  : Mthai

แก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว

แก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว

เมื่อ ชีวิตประจำวันของเราผูกพันกับการใช้งานสมาร์ทโฟนอย่างแยกไม่ออก หนึ่งปัญหายอดฮิตที่พบเจอได้บ่อยคงหนีไม่พ้นปัญหาแบตเตอรี่ไม่พอใช้จนต้องพก Powerbank เอาไว้เป็น ที่ชาร์ตแบตสํารอง ระหว่างวันแต่ก็อาจจะไม่พอกับการใช้งานโซเชียวของเรา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความหงุดหงิดใจ วันนี้หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนสกรุ๊ป (ประเทศไทย) มีเคล็ดไม่ลับแก้ปัญหาแบตหมดเร็วทั้งจากในสมาร์โฟนหรือแบตสำรองมือถือ (Power Bank) มาฝากกันโดยสามารถนำไปใช้ได้ทั้งแอนดรอยด์ iOS และ Windows Phone  มาดูเคล็ดไม่ลับ 5 ข้อกับการแก้ปัญหาแบตสมาร์ทโฟนหมดเร็ว

1. ลดความสว่างของหน้าจอลง
เชื่อ หรือไม่ว่าหน้าจอเป็นตัวดูดพลังงานมากที่สุดในสมาร์ทโฟน ซึ่งบางครั้งเราก็เปิดหน้าจอสว่าง เกินความจำเป็นโดยเฉพาะในเวลากลางวันซึ่งมีแสงสว่างมากเพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรลดความสว่างของหน้าจอให้อยู่ในระดับกลางที่สามารถอ่านข้อ ความได้อย่างสบายตาไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่สำรองแล้วยังช่วยถนอมสายตาของเราได้อีกด้วย

2. ปิดแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้งาน
การ เรียกใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆในเวลาเดียวกันนอกจากจะเปลืองแบตสํารองมือถือ แล้ว ยังส่งผลกระทบให้การทำงานของสมาร์ทโฟนของเราช้าลงอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรเลือกปิดการใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ไม่สำคัญทิ้งไปเพื่อยืด การใช้งานของสมาร์ทโฟนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสมาร์ทโฟนบางยี่ห้อก็ได้มีการพัฒนาให้มีความฉลาดมาก ขึ้น เช่นสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยที่มีการพัฒนามีชิปเซ็ตประมวลผลที่มีความสามารถใน การจัดการการใช้พลังงานได้อย่างชาญฉลาด ช่วยในการประหยัดแบตเตอรี่ทั้งในตัวและแบตเตอรี่สำรองมือถือโดยอัตโนมัติ ให้คุณมั่นใจได้ว่าแบตสํารองมือถือไม่หมดระหว่างวันแน่นอน

3. ปิดการทำงานของ GPS และ Location Service
การ เปิดใช้งานในแอปพลิเคชั่น GPS ตลอดเวลานั้นเป็นการนำพลังงานของเครื่องมาใช้โดยไม่จำเป็น ดังนั้นควรเลือกเปิดใช้งานเฉพาะเมื่อจำเป็นจะดีกว่า นอกจากนั้นการปิด Location Service จากแอปพลิเคชั่นต่างๆก็จะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่สำรองให้ยาวนานยิ่งขึ้น เพราะแอปพลิเคชั่นบางตัวจะมีการส่งข้อมูล Location ของเราผ่านอินเทอร์เน็ตอยู่เรื่อยๆโดยไม่จำเป็น

4. ปิดการทำงานของ 3G, 4G, Bluetooth หรือ WiFi เมื่อไม่ได้ใช้งาน
ปกติ ในการใช้งานสมาร์ทโฟน เราไม่สามารถเลือกเชื่อมต่อผ่านระบบช่องสัญญาณต่างๆพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อเลือกเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนด้วยช่องทางใดช่องทางหนึ่งก็ควรปิด สัญญาณอื่นๆทิ้งไป เช่น เมื่ออยู่ในที่ๆมีสัญญาณ WiFi ก็ไม่จำเป็นที่จะเปิดการใช้งาน 3G, 4G หรือ Bluetooth ทิ้งไว้ เพราะจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานของเครื่องโดยไม่จำเป็นแถมยังประหยัด พลังงานในแบตเตอรี่สำรองอีกทางหนึ่งด้วย

5. เลือกสมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่สำรองความจุเยอะ ๆ
การ เลือกใช้สมาร์ทโฟนที่มีแบตเตอรี่สำรองความจุเยอะ ๆเหมาะสมกับการใช้งานก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนอ ย่างหนักหน่วง เพื่อตัดปัญหาที่จะสร้างความหงุดหงิดที่เกิดจากแบตเตอรี่หมดเร็วเกินพอ หัวเว่ย จึงออกแบบสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคใน ปัจจุบันได้อย่างแท้จริง เช่น พีแปดแม็กซ์ ที่นอกจากจะมีหน้าจอใหญ่สะใจขนาด 6.8 นิ้วแล้วยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรองขนาดใหญ่ถึง 4360 mAh ให้คุณมั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย

Cr.RYT9,กรุงเทพธุรกิจ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

รู้ไว้..ประเทศไหน...ห้ามใช้ “ไม้เซลฟี่“ (Selfie) เด็ดขาด!!!

ไหนๆ ช่วงนี้ก็กำลังจะย่างเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นแล้ว และก็กำลังตื่นตัวเรื่องของการใช้ไม้เซลฟี่กัน วันนี้ Sanook! Travel ก็เลยจะอัพเดทข้อมูลกันอีกสักครั้งค่ะ ว่ามีประเทศใดในโลกหรือสถานที่สำคัญของโลกแห่งใดบ้างที่ออกกฏ.. ห้ามใช้ "ไม้เซลฟี่" (Selfie)  ในการถ่ายภาพเด็ดขาด!


ด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวจะเกิดอุบัติเหตุต่อตัวนักท่องเที่ยวเอง หรืออาจเป็นอันตรายต่องานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ สิ่งของมีค่าที่ประเมินคุณค่าไม่ได้ วัตถุโบราณและโบราณสถานต่างๆ ค่ะ  ซึ่งในบางประเทศที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีพิพิธภัณฑ์อันล้ำค่า.. ค่อนข้างจะ Sensative กับเรื่องนี้เป็นอย่างมากค่ะ..เพราะของเค้าบางอย่างถือว่าเป็นมรดกโลกเลยที เดียวถ้าไม้เซลฟี่เราไปฟาดโดนทีเดียว...ทุกอย่างคงไม่ดีอย่างแน่นอนค่ะ  และอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญและเป็นมารยาทสากลก็คือ จะได้ไม่เป็นการรบกวนคนรอบข้างแถมยังทำให้ทัศนีย์ภาพโดยรอบของสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้น ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามเพิ่มขึ้นไปด้วยค่ะ

เกาหลีใต้ 
เกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่ออกกฏค่อนข้างรุนแรง..สำหรับผู้ใช้ไม้เซลฟี่ ในประเทศเกาหลีค่ะ ด้วยเหตุผลที่ว่า..กลัวข้อมูลรั่วไหล เพราะในไม้เซลฟี่บางอัน ที่ใช้วิธีการทำงานร่วมด้วยกับรีโมท อาจจะมีคลื่นแม่เหล็กรบกวน ถ้าหากใครฝ่าฝืนจมีโทษปรับหนักถึง 30 ล้านวอน หรือประมาณ 8 ล้านบาทไทย หรือจำคุกถึง 3 ปีเลยทีเดียวค่ะ โหดมาก!

ญี่ปุ่น
ห้ามใช้ในดิสนีย์แลนด์ค่ะ...ซึ่งในดิสนีย์แลนด์ประเทศอื่นๆ ก็อาจจะใช้มาตรการณ์นี้ด้วยค่ะ..เพราะเกรงว่านักท่องเที่ยวอาจได้รับ อุบัติเหตุได้

บราซิล
สำหรับประเทศบราซิล เหตุผลใหญ่เลย คือ ป้องกันการตีกันของผู้คนค่ะ..อย่างเช่นแมทซ์การแข่งขันฟุตบอล เพราะไม้เซลฟี่อาจเปลี่ยนเป็นอาวุธได้ รวมถึงในขบวนคาร์นิวัลก็ห้ามใช้นะจ๊ะ อันตราย
หอศิลป์แห่งแห่งชาติ,สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เหตุผลหลักคือเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินค่ะ..

อเมริกา
ห้ามใช้ไม้เซลฟี่ ในเขตของพิพิธภัณฑ์ในเครือ  The Smithsonian museums  อย่างเด็ดขาด เหตุผลคือป้องกันการเกิดความเสียหายต่อวัตถุโบราณ และป้องกันอันตรายจากอุปกรณ์ค่ะ

ประเทศฝรั่งเศส
สำหรับประเทศฝรั่งเศสเหตุผลหลักๆเราได้พูดไปบ้างแล้วค่ะ..สำหรับประเทศ ที่มีพิพิธภัณฑ์ที่ล้ำค่า เช่น พระราชวังแวร์ซายส์,Centre Georges Pompidou art museums ,พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์  สถานที่เหล่านี้..ห้ามใช้ไม้เซลฟี่เลย เพราะเหตุผลว่าอาจเกิดความเสียหายต่องานศิลปะในพิพิธภัณฑ์

ประเทศอิตาลี
โคลอสเซียม ประเทศอิตาลี เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงออกมาตรการณ์ป้องกัน ก่อนจะเกิดความเสียหายต่อโบราณสถาน จึงได้ออกกฏ ห้ามใช้ไม้เซลฟี่ โดยเคร่งครัดและเด็ดขาดค่ะ ห้ามนะ..ห้าม

ประเทศออสเตรีย 
ในประเทศออสเตรีย ห้ามไใช้ไม้เซลฟี่ใน หอศิลป์อัลแบร์ตีนา (Albertina Museum) รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะเวียนนา ก็ห้ามใช้ไม้เซลฟี่เหมือนกันค่ะ
ทั้งนี้ ในประเทศอื่นๆ ที่อาจจะตกหล่นไปบ้าง.. ทุกคนก็ควรจะเช็คข้อมูลกันอีกรอบนะคะ ว่าเค้าอนุญาตให้ใช้ไหม.. แต่ถ้าเป็นไปได้ ถ่ายรูปแบบธรรมดาเลยดีกว่า..ได้ปลอดภัยกันทั้งตัวบุคคลและทรัพย์สิน อีกทั้งไม่รบกวนเพื่อนรอบข้างอีกด้วยค่ะ..ใจเขาใจเราเนอะ

Cr  :  sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

หัวใจเต้นผิดปกติ

หัวใจเต้นผิดปกติ


หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจเต้นผิดปกติ คือการรับรู้การเต้นของหัวใจเร็วหรือแรงขึ้น การรู้สึกอาจกินเวลาเป็นวินาที นาที ชั่วโมง หรือเป็นวัน ซึ่งอาจมีสาเหตุโดยการเต้นของหัวใจช้าเกินไป เร็วเกินไป  แรงเกินไป หรือเต้นผิดจังหวะมากกว่าปกติ ภาวะใจสั่นพบได้บ่อยและส่วนใหญ่มักไม่อันตราย การเต้นที่ผิดจังหวะมักสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงวงจรไฟฟ้าของหัวใจ โดยอาจเกิดจาก หลอดเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ การเสื่อมของลิ้นหัวใจ หรือสุดท้่ายอาจเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติของตัวมันเอง
  
ในภาวะปกติของการเต้นหัวใจ อยู่ภายใต้จุดกำเนิดออโตเมติกหรือจุดกำเนิดไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่เรียกว่า เอส เอ โหนด ซึ่งอยู่ที่หัวใจห้องขวาบน ถ้ามีจุดอื่นๆ ในหัวใจสามารถก่อกำเนิดจุดไฟฟ้าเองได้ก็เรียกว่า การกระตุกหรือกระตุ้นไฟฟ้า หรือวงจรไฟฟ้าผิดปกติ ซึ่งจะรู้ได้ง่ายช่วงออกกำลังกาย ขณะที่มีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมา หรือขณะอยู่เฉยๆ ช่วงที่หัวใจเต้นช้าหรือมีการเบี่ยงเบนจากการเต้นหัวใจช่วงที่ปกติ อาจจะเป็นช่วงของปกติก็ได้ที่จะมีหัวใจเต้นผิดปกติผิดจังหวะบ้างและบางคนก็ รับรู้ได้ว่ามีการกระตุกของหัวใจ สามารถรับรู้ได้จากการสังเกตหรือบันทึกการเต้นหัวใจจากเครืองวัดชีพจร
  
สาร คาเฟอีน เหล้า ภาวะเครียด อ่อนเพลีย ภาวะขาดสารน้ำ เจ็บป่วย ภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือทำงานมากเกินไป และยาบางชนิด อาจกระตุ้นภาวะใจสั่นมากขึ้น การเต้นหัวใจเร็วเกินไปหรือใจเต้นเร็วที่เกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติมักเกิด ขึ้นในทันทีทันใด และหยุดทันทีทันใด บางครั้งเป็นการยากที่จะชี้วัดว่าเกิดขึ้นเมื่อใดและหยุดเมื่อใด แต่ถ้ามีอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดชีพจร ที่บ้านคอยตรวจสอบไว้ก็สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากหัวใจเต้นผิดปกติได้

ถ้า ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เต้นเร็วมากๆ อาจจะมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อย หรือเวียนศีรษะ เนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงสมองน้อยลง (ซึ่งสามารถวัดค่าออกซิเจนในกระแสเลือดได้จาก เครื่องวัดออกซิเจน) บางครั้งหัวใจเต้นเร็วมากจนไม่สามารถพยุงความดันโลหิต ก็อาจจะเกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะได้ ควรมีเครื่องวัดความดันโลหิต หรือ เครื่องวัดชีพจร เพื่อช่วยชลอการเกิดโรคที่ไม่ใช้มาจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติได้ แล้วควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว หัวใจตีบน้อยลง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น แล้วหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นภาวะหัวใจเต้นเร็ว ก็สามารถช่วยได้
 
ภาวะ หัวใจเต้นผิดปกติที่มาจากวงจรไฟฟ้าผิดปกตินั้นมีลักษณะ ถ้าอาการเกิดขึ้นขณะอยู่เฉยๆ เริ่มต้นและหยุดทันทีทันใด โดยไม่สามารถคาดการณ์ได้ หรือสัมพันธ์กับอาการเวียน วูบ หน้ามืด  มักเกิดจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติ มากกว่าภาวะตื่นเต้น เครียด หรือการออกกำลังกาย ซึ่งมักมีการเต้นเร็ว ค่อยๆ เป็น และ ค่อยๆ เต้นช้าลง กรณีนี้จะลำบากในการดูแลรักษาด้วยการออกกำลังกายได้ แต่ควรปรึกษาหมอเพื่อการรักษาวงจรไฟฟ้าผิดปกติของหัวใจ
  
การ วินิจฉัยเพื่อค้นหาว่ามีการเต้นของหัวใจเต้นผิดปกติ บ้างไหมที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงได้ช่วงที่ตะแคงซ้ายในช่วงกลางคืน หรือระหว่างช่วงตื่นเต้นตกใจ หรือช่วงเครียด วิธีดีที่สุดของการวินิจฉัยคือการทำกราฟหัวใจช่วงที่เกิดอาการ ถ้าอาการผิดปกตินานพอที่จะไปทำกราฟหัวใจที่โรงพยาบาลใกล้ที่สุด หรือถ้าเป็นไม่นานพอก็อาจจะต้องติดเครื่องบันทึกการเต้นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมงไปที่บ้าน นอกจากนี้การเดินหรือวิ่งสายพานอาจจะพบการเต้นผิดปกติขณะที่มีการบันทึกการ เต้นหัวใจ แต่ถ้าไม่สะดวกอาจวัดค่าได้จากการเต้นของหัวใจ (ชีพจร) จากเครื่องวัดชีพจรแล้วบันทึกประวัติผลการเต้นหัวใจแล้วส่งผลให้คุณหมอ วินิจฉัยอีกที

การรักษาหัวใจในภาวะใจสั่นขึ้นอยู่กับ การรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันขนาดไหน และความรุนแรง หรืออันตรายของการเต้นหัวใจผิดจังหวะ ในภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง คงจะไม่ต้องใช้ยา แนะใช้วิธีการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อขยายหลอดเลือด หรือในกรณีฉุดเฉินคงให้แค่คำแนะนำหรือการแก้ไขบางอย่างเช่น การเป่าลมลงไปที่ทวาร หรือใช้ใบหน้าจุ่มลงในน้ำเย็น 1-2 นาที ถ้าอาการเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติ เป็นบ่อยหรือรุนแรงก็อาจจะต้องใช้ยา หรือการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้าหรือสายเย็น เพื่อทำให้วงจรไฟฟ้านั้นหายไป

การ จี้ คือการใส่สายสวนขนาดเล็กๆ ขึ้นที่ขาหนีบไปที่ภายในห้องหัวใจ เพื่อค้นหาจุดกำเนิดที่ผิดปกติ แล้วทำการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อให้จุดกำเนิดนั้นหายไป บางครั้งหัวใจที่เต้นผิดจังหวะอาจจะต้องใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ยาต้านเกร็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญวงจรไฟฟ้าของหัวใจจะช่วยในการตัดสินการรักษาสำหรับปัญหา ของท่าน

Cr.ข่าวสด

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

แบบนี้ก็มีด้วย !? คอร์สโยคะเปลือยสำหรับคู่รัก ช่วยกระชับความสัมพันธ์

โยคะเปลือย

           สาวออสเตรเลียเปิดคอร์ส โยคะเปลือย สำหรับคู่รัก เล่นโยคะกันแบบแนบชิด กระชับความสัมพันธ์รักแบบไม่มีเสื้อผ้ากั้น พร้อมกันคลาสละ 10 คู่

           เรียกได้ว่าเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับไอเดียโยคะเปลือย โยคะแนวใหม่ที่คนเล่นจะไม่ใส่เสื้อผ้า เพื่อเสริมความมั่นใจ และเห็นถึงความงดงามในรูปร่างของตัวเอง รวมถึงทำให้ร่างกายและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นธรรมชาติ ซึ่งกำลังแพร่หลายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังมีคนมองว่าไม่เหมาะสม และเห็นว่าเป็นเรื่องลามกอนาจาร

         โดยล่าสุด (23 กันยายน 2558) เว็บไซต์เดลิเมล รายงาน ว่า ที่ออสเตรเลียได้มีการเปิดคอร์สโยคะเปลือยแบบใหม่ขึ้น เป็นโยคะเปลือยสำหรับคู่รัก ที่ให้บรรดาคู่รักมาร่วมเข้าคลาสโยคะเปลือยด้วยกันเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยใน 1 คลาส จะมีกลุ่มคู่รักมาเข้าร่วมครั้งละไม่เกิน 20 คน หรือ 10 คู่ เป็นการช่วยกระชับความสัมพันธ์ในชีวิตรัก ให้คู่รักสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด และจุดประกายไฟรักขึ้นมาได้อีกครั้ง ทำให้พวกเขาเข้าใจกันมากขึ้น

โยคะเปลือย

           ทั้งนี้ Rosie Rees หญิงสาวผู้เปิดคอร์สโยคะเปลือยดังกล่าวร่วมกับ Ares Chaplin แฟนหนุ่มของเธอ เผยว่า โยคะเปลือยสำหรับคู่รัก กำลังเป็นที่นิยม โดยความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างคน 2 คน จะทำให้คุณมองคู่รักของตัวเองในมุมมองที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งการฝึกโยคะเปลือย เป็นการสร้างความใกล้ชิดระหว่างคู่รัก แต่ไม่ใช่เรื่องของการมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด แม้ว่าการเปลือยกายนั้น จะถูกมองว่าเป็นเรื่องทางเพศก็ตาม

           และถึงแม้การเข้าคอร์สโยคะเปลือยแบบกลุ่มนี้ บรรดาผู้เข้าร่วมจะต้องเปลือยกายต่อหน้าคนอื่น ๆ ในคลาสเดียวกัน แต่ Rosie Rees ก็ระบุว่า ผู้เข้าร่วมจะให้ความสำคัญกับคู่ของตัวเอง จนลืมคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ไปเลย

Cr : kapook.com

 

เครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion

เครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion

MobileFusion แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ ที่จะถูกนำเสนออย่างเป็นทางการในงานประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 14 th IEEE International Symposium on Mixed and Augmented Reality 2015 (ISMAR’15) ที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ที่เมืองฟุกุโอกะ ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ที่มีการพยายามจะย้ายเครื่องสแกนสามมิติที่ส่วนใหญ่ในสมัยก่อนต้องมีอุปกรณ์ เสริมมาต่อพ่วงเพื่อเพิ่มสมรรถนะการคำนวณประมวลผล นำมาลงในสมาร์ทโฟนแทน

โดยความสำเร็จที่น่าสนใจมากก็คือแอพพลิเคชั่น เครื่องสแกนแบบพกพา สามมิติ MobileFusion นี้ สามารถทำงานยาก ๆ งานหนัก ๆ ของสแกนเนอร์สามมิติได้โดยอาศัยเพียงกล้องติดมือถือสมาร์ทโฟนที่คนส่วนใหญ่ มีติดตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องต่ออินเทอร์เน็ต ไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เสริมมาต่อพ่วงเพื่อเพิ่มสมรรถนะการคำนวณแต่อย่าง ใด แถมมันยังมาในรูปของแอพพลิเคชั่นสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพทำงานได้แบบทันที ทันใด (Real Time) รอแป๊บ ๆ ก็ได้โมเดลสามมิติออกมาใช้แล้ว

Microsoft Research เปิดตัวโปรเจคใหม่ที่ชื่อ MobileFusion แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสาม มิติ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วไป สามารถใช้งานฟีเจอร์ 3D scanner แบบล้ำๆได้เลย โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม หรืออินเทอร์เน็ตเป็นตัวช่วย เพียงแค่ถ่ายรูปภาพตามปกติเท่านั้น  MobileFusion เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เครื่องสมาร์ทโฟนธรรมดา สามารถถ่ายภาพแบบ 3 มิติความละเอียดสูง จนสามารถเอาไปปริ้นในเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ไม่ก็ใช้เป็น 3D object ในคอมฯได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริม หรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่อย่างใด  เปลี่ยนกล้องสมาร์ทโฟนให้เทพขึ้น

รูปแบบการทำงานแอพพลิเคชั่น MobileFusion นี้ก็ง่ายและแทบจะไม่แตกต่างจากการใช้ฟีเจอร์ถ่ายภาพพาโนรามาเท่าไหร่เลย ครับ แค่ยกกล้องสมาร์ทโฟนขึ้นมาส่องไปที่วัตถุ  ในระหว่างที่เราขยับกล้องไปมาเพื่อจับภาพของวัตถุในลักษณะของภาพต่อเนื่อง นั้น แอพพลิเคชั่น เครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion ก็จะคอยเปรียบเทียบความกว้าง ความยาว และ ความลึกของวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปในภาพต่อเนื่องแต่ละเฟรม

มันจะทำ การสแกนภาพที่เราถ่ายด้วยการถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องติดๆกันแบบเรียลไทม์ ซึ่งในระหว่างนั้น ให้เราแพนกล้องไปรอบๆตัววัตถุหรือบุคคลตามไปด้วย จากนั้นมันก็จะเอาภาพทั้งหมดที่เก็บข้อมูลได้มากเพียงพอสำหรับการสร้างโมเดล สามมิติมาต่อกันจนกลายเป็น 3D object หนึ่งชิ้น ซึ่งส่วนนี้เอง เราสามารถเอามันไปยัดใส่ในเครื่อง 3D Printing ให้ปริ้นออกมาเป็นโมเดลที่เราจับต้องได้ หรือเอาไปเป็นโมเดลสำหรับสร้างงานในคอมฯก็ได้เช่นกัน

จุดประสงค์ของ แนวคิดนี้คือ ต้องการให้มันเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บความทรงจำได้แบบสมจริง คือเวลาไปเที่ยว แล้วเราไปเจอวัตถุหรือรูปปั่นที่สวยงามสุดๆ แต่เราเอากลับบ้านไม่ได้ เราก็เอามือถือถ่ายซะเลย แต่ถ้ามี แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusion ก็จะกลายเป็นว่า จากรูปภาพธรรมดาๆสามารถแปลงเป็นวัตถุให้เราจับต้องได้ หรือเอาไปนอนกอดที่บ้านได้นั้นเอง (เขาคงจะบอกว่า “แค่ภาพถ่ายมันไม่พอหรอกกก!!”)

แอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสาม มิติ MobileFusion นี้เป็นงานวิจัยร่วมกันของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft Research และ University of Oxford มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษ ในขณะนี้แอพพลิเคชั่นที่พัฒนายังไม่มีให้ดาวน์โหลดฟรีมาใช้งาน แต่จากข่าวเห็นว่าทางทีมพัฒนามีแผนที่จะปล่อยแอพพลิเคชั่นนี้ออกมาให้ดาวน์ โหลดกันในเร็ว ๆ นี้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS, Android และ Windows Phone

Microsoft กล่าวว่า ทางเราได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นเครื่องสแกนแบบพกพาสามมิติ MobileFusionให้มันสามารถใช้งานได้กับแพลตฟอร์มอื่นๆได้ด้วย อาทิ Android, iOS และ Windows Phone แต่ยังไงก็ตาม เทคโนโลยีนี้ Microsoft ไม่ใช่เจ้าแรกที่คิดค้นขึ้น (เช่น Seene) เพราะงั้น เพื่อให้สมกับเป็นบริษัทใหญ่ ตัว MobileFusion จะต้องมีอะไรที่มากกว่านี้แน่นอน ทั้งนี้จะมีงานพูดคุยกันอย่างละเอียดอีกครั้งในงาน Mixed and Augmented Reality 2015 (ISMAR’15) ที่จะมีจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคมปีนี้ ท่านไหนที่สนใจอยากได้โมเดลสามมิติของสิ่งของรอบตัวมาใช้งานโดยไม่อยาก เหนื่อยนั่งปั้นเอง หรือท่านไหนที่ทำงานทางด้านนี้อยู่ก็คงต้องติดตามรอกันให้ดีครับว่างานนี้จะ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมสู่วงการนักสร้างโมเดลสามมิติได้มากน้อยแค่ไหน ใครที่อยากทราบรายละเอียดของโครงการนี้ รอชมกันได้ครับ


Cr.arip,เดลินิวส์

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ชำระเงินออนไลน์ mPOS & Pay Social


 ชำระเงินออนไลน์ mPOS & Pay Social
ในยุคที่ Social Network มีอิทธิพลต่อโลกมากขึ้นการค้าขายมักจะเกิดขึ้นบน โซเชียล เน็คเวิร์ค อย่างมากเช่น และหลายคนมองว่าเป็นโอกาส แต่โอกาสนั้น มักจะไม่ได้มาได้โดยง่าย เพราะมันเกิดมากมายหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องความน่าเชื่อถือของร้าน รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินที่สมัยก่อนจะต้องชำระเงินผ่านเงินสดเท่า นั้น ทำให้ไม่สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร จึงเกิดการจ่ายเงินในรูปแบบใหม่ที่ชื่อ mPOS (Mobile Point of  Sale) และที่กำลังจะตามมาเร็ว ๆ นี้  Pay Social  วันนี้จะพาไปการใช้งานว่ามันจะสะดวกจริง และเพิ่มยอดขายให้คุณได้จริงอย่างที่คำโฆษณากล่าวไว้หรือไม่

Pay Social ชำระเงินผ่าน Social Media
อัน ที่จริงแล้ว Pay Social คือบริการชำระเงินออนไลน์ผ่าน Social Media แห่งแรกของเอเชีย ที่ไม่ว่าคุณจะขายของทาง Facebook, Instagram, Twitter หรือช่องทางอื่น ๆ บน Social Network ใด ๆ บนโลกนี้ สามารถชำระเงินผ่าน Pay Social ได้แค่ติดลิงค์ URL หน้าเว็บชำระเงิน (http://pay.sn/ชื่อร้านของคุณ) เท่านั้น ลูกค้าก็สามารถชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้ทันที

อีกช่องทางหนึ่งที่เพิ่มความสะดวกในการจ่ายเงินให้มากขึ้น ทำให้ความลังเลและเปลี่ยนร้านน้อยลง คุณสามารถคุมราคาได้อีกด้วย การที่มี Pay Social นอกจากสะดวกที่ลูกค้าจ่ายเงินได้ง่ายแล้ว ยังทำให้ร้านค้ารู้ถึงคำสั่งซื้อเพื่อจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้ทันที พร้อมทั้ง ยังสามารถให้ลูกค้าเลือกผ่อนชำระกรณีที่มียอดซื้อมาก ๆ

เมื่อ รายละเอียดดีขนาดนี้ จากการที่ได้ลองสมัครสมาชิกผ่าน Apps ทั้งใน iOS และ Android ที่เปิดให้บริการ ต้องบอกว่า ความสะดวกตกไปอยู่กับทาง Android เนื่องจากมีการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Facebook ได้ทำให้ไม่ต้องกรอกข้อมูลให้ยุ่งยาก ส่วน iOS ณ  ยังไม่สามารถทำได้ แต่เชื่อว่า Feedback เหล่านี้คงไปถึงนักพัฒนา Pay Social ให้ปรับปรุงความสามารถของ Apps นี้ต่อไป แต่หลังจากสมัครใช้งานแล้วความสะดวกก็มีมากขึ้นทำให้กล้าสั่งสินค้าผ่านร้าน ค้า Social Network อีกด้วย

mPOS ชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
mPOS (Mobile Point of Sale) สามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ให้กลายเป็นจุดชำระเงินได้ทันที ช่วยลดข้อจำกัดในการซื้อสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถชำระเงินค่าสินค้าได้เพียงมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต เท่านั้น จึงทำให้เกิดความสะดวกต่อร้านค้าและลูกค้าในเวลาเดียวกัน เพิ่มช่องทางการขาย ง่ายแก่การชำระเงิน ซึ่งปัจจุบันนี้มี 4 ธนาคารหลักที่ให้บริการนี้คือ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา  ธนาคารธนชาติ  และ ธนาคารกรุงไทย

ในกรณีที่เป็นบัตรเดบิต ให้ใช้อุปกรณ์ เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก เชื่อมต่อผ่านช่องเสียบหูฟังของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเสร็จสมบูรณ์แล้ว  จากนั้นเมื่อต้องการชำระเงิน ให้กดปุ่ม Swipe แล้วนำบัตรเดบิตแถบแม่เหล็กไปรูดที่เครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก  เมือเครื่องอ่านบัตรแถบแม่เหล็กอ่านข้อมูลแล้ว บนหน้าจอจะแสดงชื่อผู้ถือบัตร หมายเลขบัตรสี่หลักสุดท้าย และวันหมดอายุ เพื่ออนุมัติการชำระเงินต่อไป

ในกรณีที่เป็นบัตรเครดิต ให้ใช้อุปกรณ์อ่านบัตรแบบอีเอ็มวีเชื่อมต่อผ่านช่องยูเอสบีของสมาร์ทโฟนและ แท็บเล็ต โดยหน้าจอจะแจ้งว่าให้ใส่บัตรเครดิตเข้าไปใน เครื่องรูดบัตร ก็ ให้ใส่บัตรเครดิตด้านที่มีชิปเข้าไปที่เครื่องรูดบัตร เมื่อเครื่องเครื่องรูดบัตรอ่านข้อมูลสำเร็จ ร้านค้าจะเป็นผู้กรอกข้อมูล จำนวนเงินที่ต้องชำระ และรหัสพนักงาน

จากนั้นให้ลูกค้าเจ้าของบัตรทำการกรอกอีเมลล์ เบอร์โทรศัพท์(เพื่อแจ้งเอสเอ็มเอส) และแตะที่ช่องลายเซ็น เพื่อเซ็นลายเซ็นผ่านหน้าจอ เมื่อข้อมูลครบถ้วน ระบบจะแจ้งผลการชำระเงิน จะแสดงรายละเอียดการชำระเงินบนหน้าจอและธนาคารจะส่ง Sale Slip ให้กับลูกค้าทางอีเมลล์หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ ที่ได้ใส่ข้อมูลไว้

อุปกรณ์ mPOS ช่วยเสริมสำหรับชำระเงินชนิดนี้ สามารถใช้ได้ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ ยกตัวอย่าง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ร่วมจับมือกับ AIA เพื่อให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของช่องทางการชำระเบี้ยประกันภัยที่ง่ายและรวด เร็ว ให้ตัวแทนประกันชีวิตมีความสะดวกในการออกไปพบลูกค้าและทำธุรกรรมได้อย่างครบ วงจรและปลอดภัยในขั้นตอนเดียว อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และทางด้านลูกค้าเองก็สามารถจ่ายชำระค่าเบี้ยประกันภัยด้วยบัตรเครดิตผ่าน ทางตัวแทนได้ทันที

อีกหนึ่งตัวอย่างจาก สายการบินนกแอร์ ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับธนาคารกสิกรไทย ที่ใช้อุปกรณ์ mPOS มาช่วยในการชำระเงิน ค่าตั๋วเครื่องบิน โดยที่สนามบินดอนเมืองจะมีเจ้าหน้าที่ของสายการบินใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อกับ สมาร์ทโฟนหรือไอแพดคอยให้บริการลูกค้า เป็นการเพิ่มช่องทาง การจำหน่ายตั๋วโดยสารอีกช่องทางหนึ่งเพื่อไม่ใช้ผู้โดยสารต้องต่อคิวนาน

สำหรับ ธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจขนาดย่อมนั้นมีข้อได้เปรียบคือ มีความคล่องตัวในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจสูง แต่การเข้าถึงลูกค้าอาจทำได้ไม่ดีเท่ากับธุรกิจการค้าขนาดใหญ่ที่มีความ พร้อมครบทุกด้านเพื่อผู้บริโภค ฉะนั้น การชำระเงินในรูปแบบใหม่ ทั้ง mPOS (Mobile Point of Sale) และ Pay Social  อาจเป็นการเพิ่มมูลค่าในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ mPOS และ Pay Social สามารถใช้ได้ในร้านค้าทุกประเภท

อาทิ ร้านดอกไม้ ร้านกาแฟ ร้านที่มีบริการส่งถึงบ้าน หรือแม้แต่ร้านอาหารในตลาดเยาวราช เพื่อสร้างความสะดวกให้ลูกค้าโดยการ ใช้อุปกรณ์รับชำระบัตรเงินผ่านบัตรเครดิต ทั้งนี้นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสให้กับ SMEs แล้ว ยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากระบบจะส่งรายการที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้วไปยังอีเมลล์หรือ SMS ตามที่เจ้าของบัตรระบุในขั้นตอนการชำระเงิน

Cr.Sanook,eCommerce Magazine

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่งชาติเนคเทค (สวทช.) ร่วมกับ สิงคโปร์ ทีราพัวติก แอสซิสทีพ แอนด์ รีแฮฟบิลีเททีฟ เทคโนโลยี เซ็นเตอร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้จัดการประชุมวิชาการ เรื่อง วิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ ณ มหาวิทยาลัย นันยาง เทคโนโลยี สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 11-14 สิงหาคม 2558  ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยของไทย ส่งเข้าร่วมการประกวดจำนวน 11 ทีม การประกวดมี 2 ประเภท คือเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ และผลงานการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ

เยาวชนไทยคว้า 2 รางวัลโครงงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนักศึกษาในงาน ไอ ครีเอท 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์  1.‘วิชั่นเนียร์’ แว่นตาช่วยจำแนกธนบัตร สีและสินค้าสำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็นด้วยบาร์โค้ดและแสง และ 2.‘โยกเยก’ ของเล่นสำหรับเด็กพิการซํ้าซ้อน

ไอ เดียสุดล้ำของเด็กไทยคว้ารางวัลจากงานประชุมวิชาการวิศวกรรมการฟื้นฟู สมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับผู้พิการ ครั้งที่ 9 (ไอ-ครีเอท 2015) ณ ณ มหาวิทยาลัยนันยางเทคโนโลยี ประเทศสิงคโปร์ ปีนี้ มีโครงงานนักศึกษาเข้าร่วมประกวดทั้งสิ้น 33 โครงงาน จาก 7 ประเทศ ได้แก่ จีน ไทย มาเลเซีย สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง
เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’

แว่นตา ‘วิชั่นเนียร์’  จากปัญหาสู่นวัตกรรม

วิชั่นเนียร์ (Visionear) อุปกรณ์สวมใส่สำหรับผู้บกพร่องทางการมองเห็น เป็นอุปกรณ์สวมใส่ประกอบด้วยแว่นติดกล้องจิ๋ว และใส่กล่องประมวลผล ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลรูปภาพแลอธิบายเสียงพูดให้แก่ผู้ใช้งาน  จากทีมนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีคว้า ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภทผลงานด้านเทคโนโลยี มีที่มาจากแว่นตากูเกิล (Google Glass) ที่ผสมเทคโนโลยีใหม่ทันสมัยทำให้ทำหน้าที่ได้หลากหลาย

“ความยากในการ พัฒนานวัตกรรมคือ การค้นหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง มากกว่าเรื่องของเทคโนโลยี เราต้องทำความเข้าใจถึงปัญหา ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คิดแทนเขา เพราะนั่นไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงซึ่งจะส่งผลให้นวัตกรรมไม่ตอบโจทย์” นันทิพัฒน์ นาคทอง ผู้ร่วมพัฒนาวิชั่นเนียร์ กล่าว

วิชั่นเนียร์ ประกอบด้วย แว่นตาติดกล้องจิ๋ว สำหรับถ่ายภาพจากด้านหน้าของผู้ใช้ และกล่องประมวลผลทำหน้าที่วิเคราะห์รูปภาพและอธิบายในรูปแบบของเสียงพูดให้ แก่ผู้ใช้งาน ซึ่งสามารถควบคุมผ่านการสั่งงานด้วยเสียงหรือปุ่มหมุนบริเวณกล่องประมวลผล วิชั่นเนียร์สามารถแยกแยะธนบัตรโดยใช้เทคนิคทางรูปทรง, แยกประเภทสินค้าโดยใช้บาร์โค้ดเสมือนหนึ่งมี เครื่องอ่านบาร์โค้ด, แยกสีด้วยเซนเซอร์และตรวจจับแหล่งกำเนิดแสงคล้าย ๆเครื่องวัดแสง คุณสมบัติเหล่านี้สามารถทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต แต่เมื่อเชื่อมต่อวิชั่นเนียร์กับแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อขอคำอธิบายภาพด้านหน้าจากบุคคลอื่น

ทีมงานยังออกแบบให้ใช้งาน ได้ง่ายสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือ ถือ คาดว่าต้นปีหน้าจะออกสู่ตลาดในราคา 3,000-5,000 บาท ระหว่างนี้อยู่ในการจัดตั้งบริษัทและระดมทุนสนับสนุนในรูปแบบของการทำธุรกิจ เพื่อสังคม นั่นหมายความว่า สินค้าส่วนหนึ่งจะแจกฟรีภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มทุนหรือหน่วยงานรัฐบาล อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ผู้พิการมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีพร้อมทั้งพัฒนาฟังก์ชันการใช้งาน ที่ตอบสนองความต้องการเพิ่มขึ้น เช่น การดูเลขบนสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นอาชีพหลักของผู้พิการกลุ่มนี้ หรือการซื้อหาสินค้าที่ได้จากการอ่านบาร์โค้ดด้วย เครื่องอ่านบาร์โค้ดภายในตัวแว่น เป็นต้น
เด็กไทยคว้ารางวัล ‘วิชั่นเนียร์-โยกเยก’

‘โยกเยก’ ของเล่นนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ

ใน ส่วนของผลงานด้านการออกแบบนวัตกรรมสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ‘โยกเยก’ ของเล่นสำหรับเด็กพิการซํ้าซ้อนกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยโยกเยก จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้รับรางวัลที่ 2 ชวิศา พงษ์อำไพ อธิบายว่า มุ่งเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อขาที่อ่อนแรง โดยศึกษาพฤติกรรมการโยกชิงช้าของเด็กๆ พบว่า ขณะที่เล่นเด็กจะกระตุ้นความรู้สึกของตัวเองด้วยความรู้สึกโอบอุ้ม โดยมุ่งเน้นพัฒนากล้ามเนื้อที่อ่อนแรง ในการออกแบบม้าโยก คือสามารถเล่นได้ทั้งสองทางที่เด็กๆ จะได้ใช้ขาในการออกแรง ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความสนใจพฤติกรรมการโยกชิงช้าของเด็กๆ ขณะที่เด็กเล่นโยกหน้าหลังจะใช้กำลังขา พลิกกับแรงเสียดทาน และฝึกการทรงตัวหมุนได้รอบด้าน

โยกเยกสามารถเล่นได้ทั้งสองด้าน ด้านแรกคือการโยกหน้าหลัง และเมื่อพลิกกลับด้านจะเป็นการโยกแบบรอบทิศทาง ทั้งนี้ ได้ออกแบบ joggle หรืออุปกรณ์ลดแรงเสียดทานเพื่อประกอบกับชิ้นงาน เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกตัว รวมถึงฝึกการใช้ขาและออกแรงขาเพิ่มขึ้นในขณะที่เล่น รูปร่างของม้าโยกจะมีลักษณะเป็นเส้นโค้งที่รับกับขาของเด็ก โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเป็ด ซึ่งในอนาคตจะออกแบบทำเสียงเมโลดี้ฝังไปในตัวโยกเยกเพื่อให้เกิดการรับฟัง เพิ่มขึ้นด้วย

“หลังจากได้รับรางวัล เราพยายามนำไปต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ด้วยการนำไปทดสอบประสิทธิภาพ และผลที่ได้รับจากกลุ่มเด็กที่ใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผลิตภัณฑ์และ การพัฒนาต่อยอดในอนาคต” ชวิศา ผู้แทนกลุ่มกล่าว

ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และประธานอำนวยการจัดงาน i-CREATe 2015 ฝ่ายไทย กล่าวว่า จุดประสงค์ของการจัดงานครั้งแรกคือ การกระตุ้นให้นักวิจัยพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้พิการให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากอุปกรณ์จากต่างประเทศมีราคาแพง โอกาสเข้าถึงยาก การพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้จะทำให้ผู้พิการมีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพใน ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย เท่ากับเป็นการลดความพิการและความเหลื่อมล้ำลงได้ ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ที่สำคัญจะได้นวัตกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้พิการในแต่ละประเทศ ได้อย่างเหมาะสม

Cr.กรุงเทพธุรกิจ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

รักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด

รักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด


วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
 Photo : ฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมก่อนและหลังทานสมุนไพร

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ หรือ หมอเบิร์ด ประสาทและศัลยแพทย์ คลินิคโรคทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาดว่า จากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบมาเป็นเวลานานพบว่า โรคนี้เป็นโรคที่ติดอันดับต้นๆ ของการเสียชีวิต โดยปี 2557 เส้นเลือดในสมองตีบทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 และก่อให้เกิดความพิการเป็นอันดับ 1  ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูงมาก ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันเฉลี่ยครั้ง 15,000 บาทต่อครั้ง และการใส่สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดแดงเฉลี่ย 200,000 บาทต่อครั้ง จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพเป็นประจำ ควรมี เครื่องวัดความดัน  เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เครื่องวัดออกซิเจน เพื่อดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิดก่อนที่จะสายเกินแก้

สาเหตุ ของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา 2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ 3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้

จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ แม้นจะมีเครื่องไม้เครื่องมือตรวจวัด ไม่ว่าจะเป็น เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดออกซิเจน เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ แล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาดูแลสุขภาพหรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวได้ จึงพยายามหาวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด ทั้งการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันหรือทางการแพทย์ที่ทันสมัย

นพ.ประชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม มีคนไข้ในความดูแลหลายรายที่มารักษาด้วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งเรามีนวัตกรรมใหม่ในการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้ใส่สายสวนลงไปที่เส้นเลือดแดงผ่านไปยังเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หน้าอก คอ สมอง ขยายหลอดเลือดแดงที่สมอง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้มีคนไข้รายหนึ่งเป็นชายมีอาการหลอดเลือดที่คอตีบเข้ามารับการรักษาเลือด ไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน มีอาการอ่อนแรงและอัมพาตชั่วคราว ทางเราใช้ยารักษาและป้องกันจนอาการดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ มีการใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบอลลูนขยายเส้นเลือด

คนไข้รายนี้กลัว การผ่าตัดมาก จึงตัดสินไม่ผ่าตัด และขอไปรักษากินยาสมุนไพร ซึ่งหมอเตือนไปว่าอาจเกิดอาการอุดตันซ้ำ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย แต่หลังจาก 6 เดือนผ่านไปปรากฎว่าว่ามีเรื่องน่าสนใจและไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น หลังจากหมอเอกซ์เรย์และฉีดสีดูเส้นเลือดที่ตีบเส้นเดิมนั้น เส้นเลือดที่เคยตีบ หรือขรุขระ กลับเรียบสวย ไม่ต้องผ่าตัดแล้ว เป็นเรื่องที่หมอไม่เชื่อแต่น่าสนใจจึงสอบถามว่าไปทำอย่างไรมา คนไข้อธิบายได้ความว่าได้นำขิง พุทราจีนแห้ง และเห็ดหูหนูดำ มาตุ๋นรวมกัน ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปเลย เป็นวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด

นพ.ประชา กล่าวว่า รายที่ 2 มีอาการหนักมาก เพราะเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดออกในกระเพาะ อายุ 70 ปี ต้องให้ยารักษาประคองอาการ เพราะจะให้ยาละลายลิ่มเลือดในสมองไม่ได้ เพราะต้องรอแผลในกระเพาะหายก่อน จึงลองเล่าให้ลูกสาวฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร 3 อย่างที่กล่าวมา ซึ่งแพทย์เองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู เพราะยาแผนปัจจุบันใช้ไม่ได้ ปรากฎว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น และได้ลองบอกคนไข้รายต่อไปที่สนิทกันแนะวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด ว่าให้ลองนำสมุนไพรมาตุ๋นดื่ม อาจมีประโยชน์จริง ปรากฎว่าดีขึ้นทุกราย เพราะเส้นเลือดที่เคยขรุขระเรียบสวยขึ้น

หมอก็เกรงว่าจะเป็นดาบสองคม จึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิทกัน แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนเราล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน คนไข้รายที่ 2 กินแทนน้ำไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย ที่สำคัญไตยังทำงานได้ดีขึ้น เพราะพุทราจีนบำรุงไต ส่วนผสมที่เหมาะสมคือ น้ำ 1 ลิตร พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก ขิง 1 ขีดใหญ่ ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง ได้น้ำ 50-60% กินแต่น้ำ

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: พุทราจีน

นพ.ประชา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดในโรงพยาบาลของรัฐบาลด้วยวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบ ให้หายขาด เพราะเราไม่มีปริมาณคนไข้มากพอที่จะทำงานวิจัย แต่เมื่อรู้ว่าดีก็บอกต่อ ขณะนี้ยังไม่ได้ทำการพัฒนาและวิจัยว่าจริงหรือไม่จริง 100% แต่เห็นว่าเป็นประโยชน์ และยืนยันว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากโรงพยาบาลรัฐจะทำการวิจัยโดยคนไข้จำนวนมากเพื่อดูผลก่อนและหลังว่าได้ผล กี่เปอร์เซนต์น่าจะดีและมีประโยชน์ในอนาคตในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือด สมองตีบ แต่ในแง่ของการรักษาเบื้องต้นสามารถมารับการรักษาและรับคำแนะนำได้ที่ คลินิคโรคหลอดเลือดทางสมองและประสาท โรงพยาบาลเชียงใหม่-ราม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางโรงพยาบาลมีระบบช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ตีบหรือแตก

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: เห็ดหูหนูดำ

อาการองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ คือ อ่อนแรง หรือชาแขนขาซีกใดซีกหนึ่งทันทีทันใดพูดไม่ชัด ไม่เป็นคำ หรือพูดไม่ได้ทันทีทันใด ปากเบี้ยว ตามืดมองไม่เห็นทันทีทันใดข้างใดข้างหนึ่ง คนที่มีโรคความดันโลหิตสูง ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะอุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ หรือเป็นอัมพาตได้ หากมีอาการดังกล่าวให้รีบไปโรงพยาบาลทันที หากช้ากว่า 4 ชั่วโมงครึ่งอาจรักษาไม่ทันและทำให้เกิดความพิการตามมา

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด
Photo: ขิง

ปัจจุบันหมอก็กินน้ำตุ๋นจากสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด เพราะเชื่อว่าแก้เส้นเลือดอุดตันทั่วร่างกาย ลดไขมัน ทุกคนในครอบครัวกินหมด โดยเฉพาะพี่ชายหมอ ซึ่งก็เป็นหมอเช่นกัน หลังลองกินแล้วไปเล่นกีฬาหนักๆ ไม่มีอาการปวดขาจากกล้ามเนื้อขาดเลือดอย่างที่เคยเป็นเลย ซึ่งหมอดีใจเพราะไม่อยากรักษาคนในครอบครัวที่เป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบเช่น กัน ส่วนตัวไม่อยากให้คนไทยเป็นโรคนี้เพราะเป็นแล้วจะพิการ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวที่เป็นแล้วทำให้ครอบครัวล่มสลาย จึงมีความหวังดีมาบอกต่อแนะนำวิธีรักษาเส้นเลือดสมองตีบให้หายขาด โดยไม่หวังผลด้านธุรกิจ

Cr.เห็ดลม

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

คุณจะรู้สึกเหมือน 5 ข้อนี้ เมื่อเจอคนที่พร้อมใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน



คุณจะรู้สึกเหมือน 5 ข้อนี้ เมื่อเจอคนที่พร้อมใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

          เมื่อคุณและเขาคบกันมาได้สักระยะหนึ่ง มันอาจถึงช่วงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจได้แล้วว่า จะเป็นคนนี้หรือเปล่าที่เราควรเลือกให้มาเป็นคู่ชีวิตด้วย ? ของอย่างนี้ต้องอาศัยการสังเกตพฤติกรรมในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน วันนี้เราเลยมีวิธีจับสัญญาณเตือนว่าคุณพร้อมจะให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน ชีวิตคุณ ไว้จะได้สำรวจหัวใจตัวเองกัน
1. ใส่ใจหรือสนใจ

          คุณรู้สึกหรือเปล่าว่าเขาคนนั้นใส่ใจคุณอย่างจริงจังหรือผิวเผิน สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าเขาเลือกที่จะใส่ใจคุณอย่างจริงจัง เขาจะใส่ใจแม้กระทั่งผู้คนรอบข้างตัวคุณด้วยเช่นกัน เขาจะใส่ใจว่าคุณชอบอ่านหนังสือเรื่องอะไร เพลงไหนที่เป็นเพลงโปรดของคุณ คุณชอบแต่งตัวแบบไหน ชอบกินอะไร เรียกง่าย ๆ ว่าใส่ใจแทบจะทุกรายละเอียดในตัวคุณ

2. ทำจริงหรือพูดเล่น

          คงไม่มีใครชอบคนที่ดีแต่พูดแต่การกระทำกลับสวนทางหรอก การให้คำสัญญาต่อกันระหว่างคู่รักจะเป็นเรื่องที่สวยงามทันที ถ้าเขาคนนั้นของคุณพร้อมที่จะทำให้คำสัญญาที่ว่านั้นเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ว่าคุณเชื่อกับทุกคำสัญญาของเขา ให้คิดไว้ว่าคนที่เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณเขาจะแสดงให้คุณเห็น มากกว่าพูดให้คุณฟัง

3. ผู้ฟังหรือผู้พูด

          ให้คุณลองสังเกตดูท่าทีของเขาเวลาที่ฟังคุณพูด ไม่ใช่ทุกคนที่จะยินดีรับฟังทุกคำพูดของเรา ถ้าคนคนนั้นไม่มีความสำคัญกับเรามากจริง ๆ และการเป็นผู้ฟังที่ดีใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องอาศัยความจริงใจในการฟังด้วย ไม่ใช่แต่ว่าฟังไปเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายร่วมไปกับเรา

4. ผิวเผินหรือจริงจัง

          ไม่ใช่ทุกคนที่คุณพร้อมจะเปิดใจให้เขาเข้ามารับรู้รายละเอียดเรื่องราวใน ชีวิตคุณ เรื่องแบบนี้จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมทั้งของคุณและของเขาว่าเปิดใจให้อีก ฝ่ายหนึ่งมากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณเองรู้สึกไม่อึดอัดและยินยอมให้เขาเข้ามาด้วยความเต็มใจ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณพร้อมที่จะแชร์ชีวิตอีกครึ่งร่วมกับเขา

5. เป็นห่วงหรือยุ่มย่าม

          คุณลองคิดดูเล่น ๆ ว่าถ้าคุณต้องใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเขา คุณจะมีความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน คุณรู้สึกแฮปปี้ไหมเวลาที่เขาเข้ามาคลุกคลีหรือทำความสนิทสนมกับครอบครัวของ คุณ เรื่องแบบนี้คุณต้องสังเกตจากความพอใจของตัวคุณเองเป็นหลัก ว่าคุณมองการกระทำของเขาเป็นเรื่องที่ยุ่มย่ามมากน้อยแค่ไหน

          เอาเข้าจริงคงไม่มีสัญญาณอะไรที่ดีไปกว่าความรู้สึกของเราเอง ที่จะเป็นตัวบอกได้ว่าเขาหรือเธอคนนั้นสามารถเข้ามาเป็นคู่ชีวิตของเราได้ และหากคุณได้เจอใครสักคนที่ทำให้คุณมีความรู้สึกเหล่านี้แล้ว อย่าทำให้เขาต้องหายไปจากชีวิตคุณ พยายามดูแล รักษา และทะนุถนอมเขาให้ดีแล้วกันนะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
wmnlife.com, www.relrules.com, kapook.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

พิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก

พิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก


พิพิธภัณฑ์มดแห่งเดียวในโลก

สัตว์ที่อยู่คู่โลกมาช้านานอย่าง "มด" สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย และยังเป็นหนึ่งในสัตว์ตัวอย่างด้านความขยัน ถูกรวบรวมเอาไว้ที่ "พิพิธภัณฑ์มด" แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

"มด" ขนาดยักษ์ที่ตั้งเด่นอยู่นี้ นอกจากจะทำให้เราได้เห็นสรีระของสัตว์ตัวจิ๋วนี้อย่างชัดเจนแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ยังจำลองให้เป็นศูนย์กลางรัง ซึ่งควบคุมกิจกรรมทั้งหมด รวมถึงที่อยู่ของนางพญา, มดเพศผู้ และส่วนนี้เองที่เราจะได้รู้จักกับ "มดงาน" มดเพศเมียที่เป็นหมันและมีจำนวนมากที่สุดของรัง ซึ่งมีหน้าหาอาหาร, สร้างรัง, ดูแลตัวอ่อนและป้องกันศัตรู

ส่วนบรรดามดสต๊าฟที่มีขนาดเล็กมากหากจะวัดขนาดจำต้องใช้ ไมโครมิเตอร์ (Micrometer) อุปกรณ์สำหรับใช้วัดขนาดชิ้นงานความละเอียดสูง จำต้องใช้แว่นขยายส่องชมมดสต๊าฟนี้ พูดถึงสายสัมพันธ์แห่งมดที่เชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศและสัตว์อื่น ๆ รวมไปถึงมดที่หาดูได้ยาก เช่น มดหลังโล่ ที่สวยงามและไม่ดุ หรือ "มดตะนอย" ที่ต่อยปวดที่สุดแต่ไม่ดุร้าย

พิพิธภัณฑ์มด ตั้งอยู่ที่ ตึกวินิจวนันดร ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ในทุกๆ เรื่องราวเกี่ยวกับมด ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมา การดำเนินชีวิต กับสืบพันธุ์ พร้อมทั้งมีการรวบรวมมดสต๊าฟกว่า 600 ชนิดจากทั่วโลก มาจัดแสดงให้ได้ชม และพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 ปี และครบรอบ 72 ปี คณะวนศาสตร์ ซึ่งได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์มดแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก

มด เป็นแมลงที่มีการสร้างรังเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ บางรังมีจำนวนประชากรมากถึงล้านตัว โดยในรังจะมีการแบ่งชั้นวรรณะกันทำหน้าที่ คือ "มดราชินี" มดตัวเมียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัง มีหน้าที่ออกไข่ และควบคุมกิจกรรมทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นภายในรังมด ลำดับต่อมคือ “มดงาน” เป็นมดเพศเมียเป็นหมัน หน้าที่หาอาหาร สร้างและซ่อมแซมรัง ปกป้องรังจากศัตรู ดูแลตัวอ่อน และงานอื่นๆ ทั่วไปเป็นวรรณะที่มีจำนวนมากที่สุดในรัง และ วรรณะสืบพันธุ์ เป็นมดเพศผู้ และราชินี เพศเมีย มีหน้าที่สืบพันธุ์

“ชีวิตอัศจรรย์ แห่งมด" ส่วนนี้ทำให้ได้รู้ว่า มดนั้นมหัศจรรย์จริงๆ ในหนึ่งรังจะมีจำนวนมากเท่าใด มดเหล่านั้นก็จะฟังคำสั่งมดราชินีเพียงตัวเดียว มีทั้งความสามัคคี ความขยัน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ จนทำทุกๆ ภารกิจไปสู่ความสำเร็จ และในจุดนี้ได้มีการนำความมหัศจรรย์ในด้านต่างๆ นี้มาเป็นต้นแบบและข้อนำในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เราอีกด้วย ซึ่งมองเจ้ามดน้อยเป็นตัวอย่างในเรื่องความขยัน  ไม่อย่างนั้นคงต้องอายเจ้ามดน้อย

"คุณค่าอนันต์แห่งมด" ส่วนนี้ทำให้ได้รับรู้ว่า มดนั้นมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง เช่น มดเป็นแหล่งอาหารของมมนุษย์ โดยเฉพาะไข่มดแดงที่มีการนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู มดเป็นผู้ช่วยกำจัดศัตรูพืชและผสมเกสรดอกไม้

มดนั้นโดยลำตัวของมด นั้นจะถูกแบ่ง 4 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก ส่วนเอว และส่วนท้อง และได้รู้ว่าเพิ่มขึ้นว่า การแตะหนวดกันของมดที่เห็นจนชินตา คือวิถีการสื่อสารกัน แต่ละครั้งจะมีการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่า "ฟีโรโมน" ออกมา ซึ่งสารเคมีตั้งนี้เป็นสารเคมีที่มดใช้เป็นเข้มทิศเพื่อเดินหาอาหารและกลับ รังเหมือนมี กล้องจิ๋ว ติดตัวแถมยังใช้ค้นหาคู่ผสมพันธุ์ ซึ่งมดแต่ละรังก็จะมีฟีโรโมนที่แตกต่างกันออกไป

 “ที่ สุดของมดไทย” ให้ได้ชมว่ามดชนิดไหนเป็นสุดยอดมดในแบบต่างๆ ซึ่งไม่ควรพลาดในจุดนี้ หลังจากกดปุ่มตามป้ายที่แสดงไว้ ก็ได้รู้จัก มดที่น่ารักที่สุด ได้แก่ “เจ้ามดหลังโล่” เป็นมดขนาดกลางที่มีขนาดสวยงาม อาศัยเป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่ดุ ถ้าถูกรบกวนจะหยุดนิ่งและงอตัว และ มดที่ต่อยปวดที่สุดได้แก่ “มดตะนอย” เพราะมีพิษร้ายแรง มีต่อมพิษขนาดใหญ่ แต่กลับเป็นมดที่ไม่ก้าวร้าว ส่วนในลำดับอื่นๆ ใครที่อยากรู้ว่ามีมดชนิดไหนบ้างเป็นที่สุดของมดไทย ก็ต้องเดินทางมาหาคำตอบกันเอาเองนะ แล้วคุณจะได้รู้ว่ามดนั้นมหัศจรรย์มากๆ

Cr.ครอบครัวข่าว,ผู้จัดการ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ปี 2030

โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ปี 2030


โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ปี 2030
กระแสข่าวนักดาราศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่จากการสังเกตดวงอาทิตย์ว่าอีก 15 ปีข้างหน้า หรือในปี 2030 (พ.ศ.2573) โลกของเราจะเข้าสู่โลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กนั้น ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ อธิบายว่า จากข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ในช่วงประมาณปี 1645-1750 มีอยู่ช่วงหนึ่งประมาณ 50 ปี ดวงอาทิตย์มีจำนวนจุดดำบนดวงอาทิตย์ หรือ “ซันสปอต” (Sun Spot) น้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Maunder minimum”

เรา จึงรู้จักซันสปอตกันมาเป็นร้อยปีแล้ว เพราะเวลาจะสังเกตดวงอาทิตย์ต้องใช้ฟิลเตอร์ดู แล้ววัดขนาดคล้าย ๆ จากการใช้ เวอร์เนียคาลิปเปอร์ ( Vernier Caliper ) เครื่องวัดขนาด ความยาว ความกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง  ซึ่งจากการศึกษาซันสปอตพบว่ามีช่วงเวลาอยู่ประมาณทุก ๆ 11 ปีจะมีจำนวนจุดสูงสุดและลดลงมาเรื่อย ๆ และก็มีจำนวนสูงขึ้นอีกที จากนั้นก็ลงต่ำอีกเป็นวัฏจักรที่มีการสังเกตพบหลังยุคกาลิเอโอไม่นาน หรือประมาณ 400 ปีที่ผ่านมา

ส่วนปริมาณซันสปอตพบว่ามีการรีเซตตัว เองหลังจากผ่านไป 11 ปี และจะมีการกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่ ทำให้ทุก ๆ 11 ปีจะกลับมาที่จุดเริ่มต้นใหม่และมีวัฏจักรแบบนี้แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในวัฏจักรล่าสุดพบว่าจำนวนซันสปอตที่ควรมีจำนวนสูงสุด หรือเรียกว่า “โซลาร์ แม็กซิมั่ม” (Solar Maximum) เมื่อปี 2013 แต่พอเข้าปี 2012 ควรจะเป็นแล้วแต่ก็ยังไม่เกิด กลับมีซันสปอต น้อยมาก จึงคาดว่ามันอาจจะดีเลย์ได้เพราะบางทีอาจจะไม่ 11 ปีพอดี

ในช่วง ปรากฏการณ์ Maunderminimum หากย้อนกลับไปดูจากบันทึกของคนในยุโรปจะพบว่ามันตรงกับช่วงที่มีอากาศหนาว เย็นจัดมาก ซึ่งเรียกว่าเป็น “ยุคมินิไอซ์เอจ” (Mini Ice Age) อากาศในช่วงนั้นหนาวเย็นมาก ทะเลสาบบางที่โดยเฉพาะทางตอนเหนือในยุโรปกลายเป็นน้ำแข็ง และไม่ละลายเลยทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากช่วงอื่น ๆ ที่ในฤดูร้อนน้ำแข็งจะละลาย จึงเป็นที่มาของสมมุติฐานที่ว่านี้เมื่อมีการสังเกตดวงอาทิตย์และสร้างโมเดล ทดลอง

กระแสข่าวนักดาราศาสตร์ค้นพบทฤษฎีใหม่นั้น แต่ละคนมีโมเดลไม่เหมือนกันโดยใช้คอมพิวเตอร์ทำขึ้นมาว่าสนามแม่เหล็ก เปลี่ยนแปลงแบบนี้แล้วโลกจะเป็นอย่างไร จึงเสนอว่าโลกอาจจะลงสู่ยุค Maunder Minimum หรือโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงเพราะได้รับรังสีลดลงเล็กน้อยจากดวงอาทิตย์

อย่าง ไรก็ตามการเกิดโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กจะไปชดเชยกับการเกิดภาวะโลกร้อนที่เกิด ขึ้นในช่วงเวลานี้ได้หรือเปล่ายังไม่มีใครทราบ แต่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน แต่ว่าจะร้อนจัดเท่าไหร่ หรือเย็นลงมากแค่ไหน สถานที่ไหนร้อนขึ้นหรือเย็นลง สถานที่ใดฝนหายไปหรือสถานที่ใดมีฝนตกมากขึ้นย่อมแตกต่างกัน แต่การเปลี่ยน แปลงสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเกิดจากฝีมือมนุษย์ค่อนข้างชัดเจนว่าน่าจะเกิด ขึ้น เพราะว่าเราไปรบกวนสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ การเพิ่มของกรีนเฮาส์แก๊ส และมหาสมุทรยิ่งน่ากลัวมาก เพราะมหาสมุทรสามารถดูดกลืนก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ดีได้ดีกว่าบรรยากาศถึง 400 เท่า

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อยไปส่วนมากเกิดจากการเผาฟอสซิ ลมันจะลงไปอยู่ในมหาสมุทร ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศ และคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อมันละลายในมหาสมุทรสามารถทำให้มีความเป็นกรดเพิ่ม มากขึ้น มีผลกระทบมากมายมหาศาล เพราะว่าสัตว์ที่มีกระดองหรือต้องใช้แคลเซียมคาร์บอนเนต เช่น หอย ปะการังจะถูกรบกวนหมดขนาดเล็กลงวัดได้จากเครื่องวัดขนาด เวอร์เนีย( Vernier )  ล่าสุดนักฟิสิกส์จากเยอรมนีจึงมีการเปลี่ยนคำว่า Climate Change เป็น Global Change เพราะไม่ใช่เฉพาะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนเท่านั้นแต่มหาสมุทรก็เปลี่ยนด้วย ซึ่ง Global Change ทั้งหมดเกิดจากฝีมือมนุษย์ ส่วนจะร้อนขึ้นหรือเย็นลงอย่างไรมีหลายทฤษฎีมาก

การเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศนั้นเปลี่ยนแน่นอน โดยส่วนตัวเชื่อว่าภาวะโลกร้อนชัดเจนมากกว่า แต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนต้องรอดูและศึกษากันต่อไป เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมีความซับซ้อนมาก บางโมเดลบอกว่าถ้าคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นมีผลจัดการตัวเอง ได้เหมือนกัน เช่น พวกสาหร่ายเซลล์เดียวจะเกิดขึ้นมากมาย เพราะใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์แสงสร้างตัวเอง หรือถ้าโลกร้อนขึ้นสิ่งที่ตามมาจะทำให้เมฆเยอะขึ้น มีผลต่อการสะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้โลกได้รับแสงอาทิตย์น้อยลง

ดังนั้น ในอีก 15 ปีข้างหน้า บางประเทศอาจจะไม่ได้มีอากาศหนาวเย็นจัด อย่างประเทศไทยอาจจะมีแนวโน้มที่ฝนจะตกมากขึ้น และถ้าทะเลสูงขึ้นกรุงเทพฯ จะอยู่อย่างไร เพราะเป็นพื้นที่ที่ต่ำมาก และยังมีแผ่นดินที่กำลังจมลงเนื่องจากการใช้น้ำบาดาลอีก ขณะนี้ภาวะโลกร้อนค่อนข้างชัดเจน ในหลายหลักฐานไม่ใช่เฉพาะอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่มากขึ้น และยังมีอีกข้อมูลหนึ่งที่ชัดเจนคือปริมาณน้ำทะเลที่สูงขึ้นเฉลี่ย 7 เซนติเมตร ไม่ได้เกิดจากการที่น้ำแข็งละลาย เท่าที่พูดคุยกับนักฟิสิกส์หลายคนพบว่าประมาณมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์เป็นผลมาจากการที่น้ำขยายตัวจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิค่อนข้าง เป็นหลักฐานที่สำคัญ

สรุปว่าประเทศไทยเราถึงแม้จะเข้าสู่โลกยุคน้ำ แข็งขนาดเล็กในอีก 15 ปีก็คงจะไม่หนาวเย็นจนน่าตื่นเต้นมากเท่าผลจากการกระทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นโลกยุคน้ำแข็งขนาดเล็กของเราจะอยู่ยากขึ้นแน่นอน ฉะนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราควรช่วยกันลดภาวะโลกร้อนด้วยวิธีง่าย ๆ และไม่ลำบากมากเกินไปด้วยการลดใช้ถุงพลาสติก ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ ปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยโลกของเราให้น่าอยู่มากขึ้นไม่มากก็น้อย

Cr.เดลินิวส์

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

แสงเลเซอร์พลังงานสูง

แสงเลเซอร์พลังงานสูง


แสงเลเซอร์พลังงานสูง
PHOTO : CERN
โลกฟิสิกส์มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นตั้งแต่อดีตว่า ความอยากรู้อยากเห็นของนักฟิสิกส์ได้นำมาซึ่งเทคโนโลยีที่มีคุณประโยชน์ เช่น เมื่อ Ernest Rutherford ประสงค์จะรู้ว่าในอะตอมมีอะไรบ้าง เขาได้ยิงอนุภาคแอลฟาไปพุ่งชนแผ่นทองคำเปลว (ซึ่งในสายตาคนทั่วไป การกระทำเช่นนั้น ดูไร้ทั้งเหตุผลและสาระ) แต่การทดลองครั้งนั้นได้ทำให้ Rutherford พบนิวเคลียส (nucleus) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำระเบิดปรมาณูเพื่อยุติสงคราม และทำให้แพทย์มีเทคโนโลยี MRI ที่ใช้วิเคราะห์โรคในอวัยวะของคน
     
สำหรับในกรณีของ Albert Einstein ซึ่งปรารถนาจะเข้าใจธรรมชาติของอันตรกริยา (interaction) ระหว่างอะตอมกับแสง (ซึ่งก็ดูไร้สาระเช่นกัน) แต่ความต้องการรู้นี้ได้ชี้นำให้ Einstein พบหลักการสร้างเลเซอร์ (laser) ซึ่งนับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์มากที่สุดสิ่งหนึ่งแห่งคริสต์ศตวรรษ ที่ 20 เพราะแพทย์ใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในการผ่าตัดตา ฆ่าเซลล์มะเร็ง สลายนิ่ว วิศวกรใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในการส่งสัญญาณโทรศัพท์ เล่นซีดี สื่อสารในอวกาศ ช่างใช้เลเซอร์ในงานเชื่อม ตัดโลหะ พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตใช้เครื่องอ่านบาร์โค้ดเลเซอร์ในการอ่านบาร์ โค้ด(barcode reader) ที่ติดอยู่กับสินค้า

นักวิทยาศาสตร์ใช้ เลเซอร์ในการวิเคราะห์กลไกการเกิดปฏิกริยาเคมี และกักขังอะตอมให้อยู่นิ่ง เพื่อสร้างมาตรฐานของเวลา รวมถึงใช้เลเซอร์ช่วยตรวจจับคลื่นโน้มถ่วง ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั้งพิเศษและทั่วไป และช่วยวิเคราะห์ความประเสริฐของทฤษฎีควอนตัมด้วย

ด้านนักเทคโนโลยี ก็ใช้เลเซอร์ในการพิทักษ์ความปลอดภัย เช่น ช่วยจับขโมย เพราะเวลาขโมยเดินตัดลำแสงเลเซอร์อย่างไม่รู้ตัว สัญญาณเสียงจะดัง วงการบันเทิงใช้เลเซอร์สร้างแสงพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทหารใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงในจรวดนำวิถี และในเครื่องบินไร้คนขับ (drone) นักมาตรวิทยาใช้เลเซอร์ในการวัดระยะทาง นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงวัดการขยายตัวของผิวภูเขา ไฟเวลาใกล้จะระเบิด วัดความเร็วในการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง ตรวจวัดปริมาณมลพิษในบรรยากาศโลก

ตำรวจใช้เลเซอร์ตรวจจับคนที่ขับรถ เร็วเกินความเร็วที่กำหนด นักฟิสิกส์ใช้เลเซอร์ทำให้ระบบอะตอมมีอุณหภูมิต่ำจนแทบจะเป็นศูนย์องศา สัมบูรณ์เพื่อทดสอบสมบัติควอนตัมของระบบอนุภาค และใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงที่มีความเข้มสูงน็อคอิเล็กตรอนที่โคจรอยู่วงใน สุดของอะตอมออกไปจากวงโคจร เพื่อสร้างรังสีเอ็กซ์พลังงานสูง นักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงานใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงสร้างพลังงานไฟฟ้า โดยกระบวนการ fusion ซึ่งจะทำให้โลกมีพลังงานใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
เมื่อ ครั้งที่ Einstein เริ่มครุ่นคิดเรื่องเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเวลาอะตอมได้รับแสง นักฟิสิกส์ในเวลานั้นรู้เพียงว่า เมื่อใดที่อิเล็กตรอนซึ่งกำลังโคจรรอบนิวเคลียสได้รับพลังงาน มันจะมีพลังงานมากขึ้น คือจะอยู่ในสถานะกระตุ้น แต่มันไม่สามารถอยู่ในสถานะดังกล่าวได้นาน จึงต้องปล่อยพลังงานส่วนเกินออกมาในรูปของแสงที่สามารถวัดได้จาก เครื่องวัดแสง (LUX Meter) นักฟิสิกส์เรียกกระบวนการปล่อยแสงในลักษณะนี้ว่า การปล่อยแสงที่เกิดขึ้นเอง (spontaneous emission) ตามธรรมชาติ

ถึงปี 1918 Einstein ก็ได้พบกระบวนการปล่อยแสงอีกรูปแบบหนึ่งจากเครื่องมือวัดแสง(LUX Meter) ซึ่งเรียกว่าการปล่อยแสงที่เกิดจากการเร้า (stimulated emission) ซึ่งจะเกิดเวลาอะตอมมีอิเล็กตรอนอยู่ในสถานะกระตุ้นอยู่แล้วได้รับแสงที่มี พลังงานเท่ากับพลังงานกระตุ้นพอดี อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นนั้นจะปล่อยแสงออกมาในทันที ดังนั้นจากเริ่มต้นที่มีแสงในปริมาณหนึ่งผ่านเข้ามาในอะตอม หลังการเร้า แสงที่ถูกปล่อยออกมาจะมีปริมาณเพิ่ม (จากที่ผ่านเข้ามารวมกับที่ถูกเร้าให้ปล่อย) ซึ่งแสงนี้มีความยาวคลื่นเท่าแสงที่มาเร้าทุกประการ แสงทั้งสอง (เดิมกับใหม่) นอกจากจะมีความยาวคลื่นเท่ากันแล้ว ยังเคลื่อนที่ไปทางเดียวกัน และอย่างพร้อมเพรียงกันด้วย คือ เป็นแสงอาพันธ์ (coherent light) กัน

แนวคิดนี้มิได้รับการพัฒนาต่อจนอีก 42 ปีต่อมา คือจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1960 Theodore Maiman ได้ทดลองใช้แท่งทับทิมที่ถูกโด้ปด้วยอะตอมโครเมียม โดยนำแท่งทับทิมนั้นมาฉาบด้วยโลหะเงินที่ปลายทั้งสองข้างเพื่อให้สะท้อน แสงกลับไปกลับมาภายในแท่ง แล้ว Maiman นำหลอดไฟแฟลช (flash lamp) ที่มีรูปทรงเป็นเกลียวมาสวมรอบแท่ง ดังนั้นเมื่อเปิดและปิดหลอดไฟเป็นจังหวะ แสงจากหลอดจะกระตุ้นเร้าอิเล็กตรอนในอะตอมโครเมียมจำนวนมากที่อยู่ในสถานะ กระตุ้นให้ปล่อยแสงอาพันธ์ออกมา และแสงที่ถูกสะท้อนกลับไป-กลับมา จะเร้าอิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นให้ปล่อยแสงอาพันธ์ออกมาอีก ในที่สุด แสงที่ออกมาจะมีความเข้มสูงจนตาเปล่าสามารถเห็นได้และวัดได้จาก เครื่องมือวัดแสง(LUX Meter) เป็นแสง laser จากอักษรต้นของคำว่า Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation

ปัจจุบัน เทคโนโลยีการสร้างแสงเลเซอร์พลังงานสูงได้พัฒนาไปมาก เช่นนอกจากจะใช้ตัวกลางที่เป็นของแข็งในการทำแล้ว โลกยังมี dye laser ที่ใช้สารละลายสีย้อม มีเลเซอร์แก๊สที่ใช้แก๊สฮีเลียม-นีออน และเลเซอร์ที่ใช้ argon-ion แสงเลเซอร์พลังงานสูงที่มี free-electron ซึ่งเป็นอิเล็กตรอนที่ถูกเร่งจนมีความเร็วใกล้ความเร็วแสง ซึ่งเมื่ออิเล็กตรอนเหล่านั้นผ่านไปในสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มไม่สม่ำเสมอ อิเล็กตรอนจะเปล่งแสงออกมาหลายความยาวคลื่นตั้งแต่ infrared, ultraviolet และ x-ray แต่จะเป็นชนิดใดนั้นก็ขึ้นกับความเร่งของอิเล็กตรอนในขณะนั้น
     
ใน ขณะที่เครื่องเร่งอนุภาค LHC ที่ CERN กำลังค้นหาอนุภาค Higgs ทาง Lawrence Livermore National Laboratory ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังเดินหน้าด้วยโครงการ National Ignition Facility (NIF) มูลค่า 4,000 ล้านเหรียญและมีเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะโครงการนี้มีอุปกรณ์สร้างเลเซอร์ 192 เครื่องที่จะปล่อยแสงเลเซอร์พลังงานสูงออกมาเป็นห้วง ห้วงหนึ่งๆ นาน 10-9 วินาที ซึ่งคิดเป็นพลังงาน 50 เท่าของพลังงานทั้งหมดที่โลกใช้ในเวลาเดียวกัน (แต่ใช้สั้นมาก) พลังงานแสงทั้ง 192 ลำ จะโฟกัสที่หยดไฮโดรเจนเหลวให้รวมกันเป็นฮีเลียม โดยใช้ปฏิกิริยา fusion ซึ่งจะให้กำเนิดพลังงานมหาศาล
     
เพราะ เทคนิคนี้เป็นปฏิกิริยาเดียวกันกับที่เกิดในดาวฤกษ์ ดังนั้นโครงการ NIF เสมือนจะนำดาวฤกษ์ลงมาให้ดูกันในห้องปฏิบัติการบนโลก เพื่อให้ทุกคนประจักษ์ว่า การมีพลังงานใช้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
     
ปัจจุบัน นักฟิสิกส์มีความประสงค์จะสร้างแสงเลเซอร์พลังงานสูงให้มีพลังงานสูงยิ่ง ขึ้นไปอีก และนั่นก็คือ การศึกษาทัศนศาสตร์เชิงสัมพัทธภาพระดับสูงสุดยอด (ultrarelativistic optics) ซึ่งจะทำได้ถ้ามีแสงเลเซอร์พลังงานสูงที่ถูกปล่อยออกมาเป็นห้วง นานประมาณ 10-15 วินาที - 10-18 วินาที และถ้าสร้างห้วงแสงลักษณะนี้ได้ นักฟิสิกส์ก็คาดหวังจะเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นในสุญญากาศ รวมถึงที่ใกล้ขอบภายนอกของหลุมดำ เพราะในทฤษฎีของ Hawking หลุมดำสามารถทำให้เกิดอนุภาคกับปฏิยานุภาคได้เช่นกัน โดยอนุภาคหนึ่งจะเคลื่อนที่หนีไปจากหลุมดำ แต่อีกอนุภาคหนึ่งจะเคลื่อนที่ลงหลุมดำ
     
เหตุการณ์นี้จะเกิด เมื่อสุญญากาศได้รับพลังงานมากเพียงพอ ที่จะสร้างอนุภาคได้ และนี่จะเป็นแนวทางหนึ่งในการศึกษาทฤษฎีแรงโน้มถ่วงเชิงควอนตัม (quantum theory of gravity)

Cr.ผู้จัดการ

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

รถยนต์ไร้คนขับ

รถยนต์ไร้คนขับ


รถยนต์ไร้คนขับ
Photo : Google Driverless Car
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความเร็วสูงขึ้นและยืดหยุ่นขึ้นมาก ทำให้การตรวจวัดหรือจับสัญญาณตัวแปรเพื่อความปลอดภัยรอบข้างยานพาหนะทำได้ รวดเร็ว และอาจดีกว่าการที่มนุษย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเองต่อสถานะการณ์ความปลอดภัยทั้ง เหตุฉุกเฉินหรือปกติ อีกทั้งความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ก้าวมาถึงระบบอัตโนมัติที่ทำให้ เกิดการขับเคลื่อนด้วยตนเองได้แล้ว จึงนำมาสู่ยุค“รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)” เพื่อทั้งภารกิจจำเป็นเฉพาะงานจนถึงการเป็นรถสาธารณะที่ประหยัดและปลอดภัย มากขึ้น จากงานวิจัยพบว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งเพิ่มราคาอยู่ที่คันละอีก 350 เหรียญ แต่สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ถึง 592,000 ครั้ง รักษาไว้ได้ถึง 1,083 ชีวิตในแต่ละปี

กูเกิลที่โด่งดังนอกจากจัดรถมาถ่ายภาพถนนหน ทางไปทำแผนที่เสมือนจริง (Google street view) แล้ว กูเกิลก็ได้ออกตัวหนักหน่วงกับรถยนต์ไร้คนขับ (driverless car) นี้ ณ ตอนนี้ ถึงกลางปีค.ศ.2015 รัฐแคลิฟอร์เนียออกใบอนุญาตเพื่อการทดสอบรถไร้คนขับไปแล้ว 48 ราย โดยที่รถของกูเกิลทำระยะไปมากสุดประมาณ 1.8 ล้านไมล์ของช่วงเวลานั้นจากการได้ทดสอบถึง 23 รถต้นแบบ   อย่างนั้นไปดูรถกูเกิล “รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)” ที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมที่ใหญ่ยิ่งนี้กันลำดับต่อไป กับความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนนอันเป็นปัจจัยสำคัญสูงสุดของสมองกลอันชาญฉลาด ที่ฝังใส่ให้รถที่วิ่งไปนับล้านไมล์ได้แล้วโดยไม่ต้องกลัว รวมถึงไปดูระบบสื่อสารด้วยไฟอัตโนมัติ จากแสงแอลอีดีด้วยว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ?

แสงสว่างจากแอลอีดีที่มีประกอบภายในและนอกยานพาหนะและมิใช่แค่เป็น หลอดไฟเปิดปิดอัตโนมัติ ให้ความสว่าง  ตบแต่งเพื่อความสวยงาม อำนวยความสะดวกการใช้ในหลายระบบ แต่ที่เรื่องใหม่กว่าคือสื่อสัญญาณด้วยแสงสว่างพ่วงมาด้วยเลย ทั้งระหว่างหรือภายในรถเอง และ จากแผงป้ายจราจรบอกข้อมูลอัจฉริยะ ริมทางข้างถนนและบนแยกต่าง ๆ เทคโนโลยีด้านหลังของงานเหล่านี้จัดอยู่ในหลายหมวด อาทิ การสื่อสารจากการมองเห็น (visual communication) และการสื่อสารระหว่างพาหนะกับโครงสร้างพื้นฐานข้างถนน (V2I: Vehicle to Infrastructure) ซึ่งเริ่มปรากฏมาตั้งแต่ค.ศ.2003 นานแล้ว จนกระโดดมาที่ การสื่อสารระหว่างยานพาหนะกันเอง (V2V: Vehicle-to-Vehicle) ที่มีทั้งการใช้คลื่นไวไฟ (WiFi) มากหน่อยและคลื่นอื่นที่พยายามปรับเข้ามาร่วม แน่นอนว่าแสงจากแอลอีดีก็แทรกตลาดนี้เป็นส่วนหนึ่งกับเขาได้ด้วย

ได้ เวลามาพิจารณาหาตัวช่วยเพื่อลดอุบัติเหตุนั้นกัน เทคโนโลยีที่จะใช้ต้องทำให้ขับขี่ดีกว่ามนุษย์ขับเองโดยรวมและลดการสูญเสีย ลงได้ หนึ่งในหัวข้อเหล่านี้คือศักยภาพและโอกาสของการส่องสว่างข้อมูล ที่สามารถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)ให้ความถูกต้องในการระบุตำแหน่งแบบละเอียดได้ระดับต่ำกว่าเมตร (sub-meter) อันจะเป็นระดับที่สามารถปรับใช้เพื่อความปลอดภัยระหว่างยานยนต์ได้ (V2V: Vehicle-to-Vehicle) ขณะที่การสื่อสารภายนอกอาคารทั่วไป ใช้การระบุตำแหน่งจากจีพีเอส (GPS) หรือระบบบอกตำแหน่งพิกัดบนพื้นผิวโลก (GPS) และระบบในเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (cellular) ผลจากการระบุได้ที่ความละเอียดกว้างเกิน (กว่าเมตร) กับรถรอบข้างนี้ จึงเป็นที่มาของการประสงค์รวมระบบการส่องสว่างข้อมูลความซับซ้อนต่ำเพื่อ ระบุตำแหน่งละเอียดขึ้น ที่จะขยายขีดความสามารถได้ดีในกรณีมีความหนาแน่นของปริมาณรถสูง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ทำได้รวดเร็วอีกด้วย

การใช้หลอดไฟแอลอีดี ส่องสว่างที่มาพร้อมกับข้อมูล จึงเป็นระบบสื่อสารด้วยแสงสว่างจากแอลอีดีร่วมประยุกต์ใช้งานตรวจสอบความ เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ รวมทั้งให้การเตือนก่อนที่จะเกิดเหตุ (early warning) เตือนการชน (collision warning) การควบคุมความเร็วหรือการเคลื่อนที่อัตโนมัติตามสภาพจราจร (adaptive cruise control) การตรวจจับรับรู้ผู้เดินอยู่บนทางเท้าหรือเฝ้าระวัง และการลดความน่าจะเป็นของการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งการส่องสว่างพร้อมรับส่งข้อมูลในเวลาเดียวกันจะมาร่วมทำอย่างน่าสนุกกับ งานเหล่านี้  มาดูพัฒนาการด้านการสื่อสารและการมองเห็นด้วยการใช้หลอดแอลอีดีบอกข้อมูลให้ การขับโดยคนหรือหุ่นยนตร์ไร้คนขับไปสู่การที่รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)เห็นถนนหนทางได้ด้วยตนเอง รับรู้ข้อมูลและตัดสินใจอย่างรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มกันอีกสองชิ้น

ก) ภาพเสมือน
อุปกรณ์ ความฉลาดเสริมให้รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)เพื่อลดเวลาการตัดสินใจของผู้ขับขี่ มีออกมาในแนวการมองเห็นได้ที่ไม่ให้ต้องก้มเงยขัดจังหวะเช่นผ่านแผงจอหรือ กระจกหน้าร่วมไปกับทัศนวิสัยปกติ หรืออุปกรณ์ช่วยมองที่จะทำให้การขับขี่ของมนุษย์ปลอดภัยขึ้นโดยรวมเป็นวิว เสมือนในขณะขับ ภาพเสมือนเหล่านี้จะไปอยู่ในสมองอัฉริยะของรถเรียบร้อยแล้ว

ข) ตาเสมือน  กล้องอินฟราเรดและเซนเซอร์ทำงานตัวอย่างหนึ่งสัมพันธ์กับไฟหน้าส่องฉลาดยาม ค่ำหรือมืด โดยปรับตัวลำแสงเปลี่ยนมุมได้อัตโนมัติตามสถานะการณ์และสถานที่ ไม่ว่าจะทางโค้งมุมกว้าง ทางยกทางเลี้ยว รถยนต์ไร้คนขับ (driverless car)จะจดจำภาพป้ายจราจร เช่นวงเวียน ทางแยก ทางข้ามหรือขอบทางร่วมกับแผนที่ GPS บอกตำแหน่งและ สิ่งที่เคยเห็นจากอินเทอร์เน็ตเพื่อนำมาตัดสินใจแบบคิดเองได้ เมื่อรถยนต์สวนทางที่เข้าโค้งมาเร็ว จักรยานปั่นช้าอยู่มุมอับของวงเวียนถนน แม้คนเดินบนฟุตบาทหรือสัตว์ใหญ่ตัดหน้าด้วยความเร็วน้อยนิดคิดหนีรถก็ไม่ทัน ไฟหน้าแอลอีดี (หรือเลเซอร์ผสม) จะปรับตามให้มีมุมแสงกลบได้ครบองศาสำคัญ เพื่อการตัดสินใจของมนุษย์หรือสมองกลของรถที่ขับขี่อยู่

รถยนต์ไร้ คนขับ (driverless car)แต่ละคันสื่อสารร่วมกันแม้เซนเซอร์จะอยู่แยกก็จะทำให้เกิดภาพและการมอง เห็นดีขึ้นได้แน่ รูปแบบจึงเป็นยานพาหนะคุยกันเองได้ แทนการให้ผู้ขับขี่ดำเนินการลำพังทีละส่วน โดยรวมจึงปลอดภัยสูงกว่าด้วยในที่สุดไม่ว่าด้วยทั้งคนไปขับหรือรถจะขับไปเอง “ภาพเสมือนและตาเสมือน”ทำให้รถเห็นได้ที่จะมาจากมากหน่วยเซนเซอร์ตรวจวัด สัญญาณ (เช่น radar, sonar, vision หรือ LIDAR) รถอนาคตจึงทำงานราวกับมีตามากมายกว่ามนุษย์ผู้ขับขี่ที่มีเพียงแค่สอง  เมื่อรถตัดสินใจได้มากอย่างในเวลาใกล้กันและเร็วกว่า มนุษย์จึงได้ย้ายการ“มอง”ของตนไปให้รถยนต์ได้“เห็น” โดยเริ่มให้รถทำแทนหมดกันแล้ว

Cr.เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

โดรนพลังงานแสงอาทิตย์

โดรนพลังงานแสงอาทิตย์


โดรนพลังงานแสงอาทิตย์
“แอร์บัส” บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมการบินของยุโรป เผย เตรียมสร้าง “โดรนพลังงานแสงอาทิตย์” เพื่อสอดแนม ให้กับกองทัพอังกฤษ ซึ่งสามารถทำการบินอยู่บนท้องฟ้าได้นานต่อเนื่องถึง 90 วัน
     
รายงาน ซึ่งอ้างแหล่งข่าวภายในบริษัทแอร์บัสระบุว่า ทางบริษัทกำลังดำเนินโครงการลับสุดยอดเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพของ สหราชอาณาจักร ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ โครงการพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน หรือ โดรนพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และสามารถบินได้ที่ระดับความสูงมากกว่าเครื่องบินโดยสารทั่วไปถึงเท่าตัว หรือที่ระดับความสูงราว 70,000 ฟุตเหนือพื้นดิน
     
รายงานซึ่ง อ้างแหล่งข่าวในบริษัทแอร์บัสยังระบุว่า โดรนพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวกำลังจะถูกพัฒนาให้สามารถทำการบินได้นานต่อ เนื่องถึง 90 วัน โดยไม่จำเป็นต้องชาร์จพลังงานใหม่สามารถให้พลังงานไฟฟ้าและแสงสว่างภายใน เครืองบินได้ เหมือนมีโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ บนเครื่องบิน ขณะเดียวกันยังสามารถแบกรับน้ำหนักของยุทโธปกรณ์ด้านการสอดแนมที่จะติดตั้ง ไปกับลำตัวของโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ได้อีก 10 กิโลกรัม
     
ก่อน หน้านี้ ทางบริษัทแอร์บัสเคยทำการทดสอบโดรนพลังงานแสงอาทิตย์รุ่น “Zephyr” ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า โดรนพลังงานแสงอาทิตย์รุ่นนี้สามารถทำการบินได้นานต่อเนื่อง 14 วัน และถือเป็นสถิติการบินต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดของโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ใน ปัจจุบัน  อย่างไรก็ดี ทางกระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักรยังคงไม่ออกมาให้ความเห็นใด ๆ ต่อกระแสข่าวดังกล่าว  แต่ก็ไม่ใช้เรื่องเศร้าที่เดียว เพราะก็มีการทำโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ใจบุญนาม Facebook ต่อผู้ยากไร้ในทวีปแอฟริกา

ก่อนหน้านี้มีข่าวเรื่องโดรนพลังงานแสง อาทิตย์มาแล้ว หลายท่านคงทราบข่าวนี้ที่ผ่านมาว่า facebook ทุ่มงบกว่า 60 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ซื้อ “Titan Aerospace” ซึ่งเป็นบริษัทผลิตโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ รุ่น “Solara 60”  เพื่อให้ผลิตโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 11,000 ลุยโปรเจค Internet.org  ซึ่งหวังให้ 2 ใน 3 ของประชากร มีช่องทางเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น  งานประชุมของกลุ่มนักพัฒนา Facebook [ F8 ] ประจำปี 2015  ซึ่งหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจและอาจอยู่ใกล้ตัวเราในอนาคต นั่นคือ โครงการ Internet.org  ซึ่งเป็นโครงการที่ตั้งเป้าว่าจะทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ได้

การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทั่วโลก ผ่านทาง 2G , 3G และ 4G  จะพบว่ามีหลายพื้นที่ที่อินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง ซึ่งมีมากถึง 2 ใน 3 ของโลก และ ประชากร 1,1ooล้าน – 2,800 ล้านราย อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั้ง 2G , 3G และ 4G เข้าไม่ถึง หากคุณในพื้นที่ที่เป็นเมือง แน่นอนว่า จะทำให้มี internet access ได้ไม่ยาก แต่ถ้าไปยังพื้นที่ห่างไกล การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ยากขึ้น  Facebook จึงคิดที่จะใช้ UAV หรือโดรนพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้บริการ internet ขึ้นมา

โดยโดรนพ ลังงานแสงอาทิตย์ของ facebook นี้ เป็นโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดเครื่องบินเจ็ต ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ บนชั้นบรรยากาศของโลก  โดยโดรนพลังงานแสงอาทิตย์นี้จะบินบนความสูงจากพื้นโลกกว่า 65,000ฟุต โดรนพลังงานแสงอาทิตย์ของ facebook จะเริ่มทดสอบบินและให้บริการที่สหรัฐ ในปีหน้า และในอนาคตเจ้าโดรนพลังงานแสงอาทิตย์จาก facebook นี้จะให้บริการใน สหรัฐอเมริกา เอเชีย และ แอฟริกา เป็นเวลา 3-5 ปี ซึ่งแอฟริกานี้เป็นประเทศที่เข้าถึงโลกออนไลน์ได้ยาก แต่คงจะดีถ้าจะมีพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดินเพื่อเอามาชาร์ตอุปกรณ์อินเตอร์ เน็ตบนภาคพื้นดิน หรือ แม้นกระทั้งแถมโคมไฟโซล่าเซลล์ตอนเล่นเน็ตตอนกลางคืน น่าจะดี

facebook ใช้โดรนพลังงานแสงอาทิตย์ บินสูงอยู่เหนือพื้น 60,000 ฟุต เพื่อส่งสัญญาณทางอินเทอร์เน็ต กระจายสัญญาณเน็ตให้ทุกคนได้ใช้เน็ตได้ สำหรับโดรนพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ facebook ดำเนินการอยู่นี้ อยู่ในระหว่างการสร้างเป็น Prototype อยู่ โดยได้เริ่มทำตัวเครื่องแล้ว โดรนพลังงานแสงอาทิตย์ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์นี้ สามารถอยู่ได้นาน 1 เดือนต่อครั้ง โดยหากโปรเจคนี้สำเร็จจะทำให้คนทั่วโลกเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายมากขึ้น แม้สภาพพื้นที่นั้น ทั่วไปอินเทอร์เน็ตจะเข้าถึงยาก แต่หากมีโดรนพลังงานแสงอาทิตย์นี้บินอยู่ ไม่ว่าจะที่ไหนๆก็มีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ได้

Cr.ผู้จัดการ

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

บ้านอัจฉริยะ "SMART HOME"

บ้านอัจฉริยะ "SMART HOME"
Photo : Samsung

ยุค InternetOf Things (IOTs) เชื่อมทุกอย่างด้วยอินเทอร์เน็ต ใกล้ตัวเข้ามาอีกหน่อยแล้ว และกำลังเป็นจริงในไม่ช้า บ้านอัจฉริยะ "SMART HOME" ที่กำลังจะเป็นจริงแล้ว เชื่อมทุกอย่างในบ้านด้วยอินเทอร์เน็ต แล้วกำลังจะเกิดขึ้นที่ประเทศไทย

"โจ ชาน" รองประธาน ธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่าซัมซุงเป็นแบรนด์ที่มีครบตั้งแต่สมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้า โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ และได้เริ่มพัฒนานวัตกรรมเพื่อเชื่อมต่อหน่วยที่เล็กที่สุดในสังคมแต่สำคัญ ที่สุด คือ "SMART HOME" ซึ่งเริ่มทำตลาดในอเมริกาและอังกฤษแล้ว ในอาเซียนเริ่มที่สิงคโปร์จากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ประชากรเข้า ถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั้ง 100% และ 82% เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตนเอง รวมทั้งไลฟ์สไตล์

SMART HOME จะทำให้อุปกรณ์ฉลาดขึ้น ไม่ว่าเชื่อมต่อผ่านระบบ WiFi โดยตรงหรือผ่าน พ็อกเก็ตไวไฟ(Pocket WiFi) ด้วย 3G หรือ 4G  และควบคุมด้วยแอปพลิเคชั่นได้จากทุกที่ทุกเวลา โดยอาศัยหน่วยประมวลผลกลาง (Smart things Hub) และเซ็นเซอร์ที่จะตรวจจับความร้อนการสั่นสะเทือน และความชื้น เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ใช้รู้ความเคลื่อนไหวในบ้าน อาทิ แจ้งเตือนผู้มาหา, แจ้งเตือนระบบน้ำ, ระบบไฟ และอันตรายต่าง ๆ เมื่อลืมปิดแก๊ส หรือน้ำล้นจากอ่างล้างจาน เป็นต้น

และตั้งแต่ปี 2020 "ซัมซุง" จะผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ไวไฟพกพา (Pocket WiFi)  รวมถึงปลั๊กไฟ และที่ล็อกประตูอัจฉริยะ (Digital Door Lock) ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ทั้งจะเพิ่มเซ็นเซอร์การตรวจจับการนอน การวัดสุขภาพของผู้สูงอายุภายในบ้าน ตามแนวคิด "home that care for you" เพื่อเข้าสู่ยุค IOTs เต็มตัว

ต้นแบบ "ซัมซุง สมาร์ทโฮม" ที่สิงคโปร์ เป็นโชว์เคสที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเอเชีย จำลองวิถีชีวิตคนเมืองยุคใหม่ของชาวสิงคโปร์ที่ไม่มีเวลาดูแลผู้สูงอายุแต่ ก็ไม่สามารถจ้างคนมาดูแลพิเศษได้เพราะค่าใช้จ่ายแพงมากหลายบ้านจึงมีผู้สูง อายุและเด็กอยู่กันลำพัง

"ซัมซุง สมาร์ทโฮมจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้ มีระบบส่งสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อผู้สูงอายุหกล้มและหมดสติ ระบบความปลอดภัยและการเตือนการเปิด-ปิดประตู หน้าต่าง หรือคอนโทรลระบบไฟฟ้าระบบ WiFi หรือผ่าน พ็อกเก็ตไวไฟ(Pocket WiFi) โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือราว 400 ดอลลาร์สิงคโปร์ ไม่รวมตัวเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยระบบจะรองรับการเชื่อมต่อได้ 300 อุปกรณ์พร้อมกันผ่านระบบ WiFi ควบคุมผ่านแอปพลิเคชั่น ทั้งไอโอเอส แอนดรอยด์ และวินโดวส์โฟน"

สำหรับในประเทศไทย "มณฑล มังกรกาญจน์" ผู้อำนวยการ ธุรกิจลูกค้าองค์กร ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า เริ่มนำสมาร์ทโฮมเข้ามาแล้ว โดยนำร่องแห่งแรกกับคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ย่านสุขุมวิท 31  ก่อนจะขยับไปในอีกหลายโครงการ และเตรียมจะนำเข้ามาทำตลาดทั่วไปในปีหน้า

Cr.ประชาชาติธุรกิจ

ผู้ประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสาร

ผู้ประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสาร
Photo : businessnewsdaily

อัจฉริยะบุคคลผู้ประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารคนแรกของโลก คือ เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐอเมริกา นักประดิษฐ์ผู้นี้ได้เรียนรู้ถึงหลักการวัสดุนำแสง เขารู้ว่าเมื่อมีการฉายแสงไปยังวัสดุ จะทำให้เกิดประจุไฟฟ้าขึ้น

คาร์ ลสันได้นำเอาหลักการนี้ไปประยุกต์สร้างเครื่องทำสำเนา ที่ทั้งง่ายและมีราคาถูกกว่าการใช้วิธีโรเนียว และระบบพิมพ์ออฟเซ็ท ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า และต้องพิมพ์จำนวนมากจึงจะคุ้ม

เขา ได้ศึกษาต่อยอดจากผลงานการค้นคว้าของ พอล เซเลนยี นักฟิสิกส์ชาวฮังกาเรียน ผู้ซึ่งค้นพบมาก่อนเขาว่า แสงจะเพิ่มสภาพการนำไฟฟ้าสถิตของวัตถุ ในขณะที่คาร์ลสันเองได้ค้นพบว่า แสงเมื่อกระทบกับสารเคมีบางอย่าง เช่น กำมะถัน จะทำให้สารนั้นแปรสภาพ  เขาจึงนำองค์ความรู้ทั้งสองมาประยุกต์ใช้ใน กระบวนการสร้างภาพด้วยไฟฟ้าสถิต

คาร์ลสันและผู้ช่วยการทดลองของเขา อีกคน ชื่อ ออตโต คอร์นี่ (Otto Kornei) ได้ช่วยกันเตรียมแผ่นสังกะสีที่เคลือบผิวด้วยกำมะถัน เพื่อใช้เป็นวัสดุนำแสง โดยใช้สไลด์แก้วของกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า “10-22-38 Astoria” ทำหน้าที่เป็นต้นฉบับในการทดลองคัดลอก

หลัก การทำงานคร่าวๆของเครื่องถ่ายเอกสารต้นแบบเครื่องแรกของโลก เริ่มด้วยการนำผ้าเช็ดหน้าไปถูที่ผิวกำมะถัน ซึ่งเคลือบไว้บนแผ่นสังกะสีอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดปะจุบวกขึ้นบนผิวกำมะถัน จากนั้นจึงนำแผ่นสไลด์ต้นฉบับไปประกบไว้ที่ด้านบนของแผ่นสังกะสีเคลือบ กำมะถัน แล้วใช้โคมไฟส่องผ่านแผ่นสไลด์แก้วของกล้องจุลทรรศน์ จากด้านบนลงมา

ตาม หลักการนี้เมื่อแสงกระทบกับผิวของกำมะถัน จะทำให้เกิดประจุลบ ซึ่งจะไปหักล้างกับประจุบวกที่มีอยู่ก่อนแล้ว จากการนำผ้าเช็ดหน้าไปถูกับกำมะถันอย่างรวดเร็ว แต่อักษรบนแผ่นสไลด์แก้วของกล้องจิ๋วจุลทรรศน์ จะบังแสงไว้ ทำให้ผิวกำมะถันที่อยู่ใต้ตัวอักษรไม่โดนแสง เมื่อใส่ผงหมึกเข้าไป แล้วแยกสไลด์ต้นฉบับออก เป่าผงหมึกส่วนเกินที่อยู่บนแผ่นสังกะสีเคลือบกำมะถันทิ้ง สิ่งที่เหลืออยู่บนนั้น คือ ตัวอักษรที่เกือบเหมือนกับต้นฉบับ

ความ อัจฉริยะของคาร์ลสันและออตโต ได้ทำให้สำเนาจากการถ่ายเอกสารแผ่นแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2481 หรือเมื่อ 77 ปี ที่แล้ว
จากวันนั้นถึงวันนี้ แม้ว่าเครื่องถ่ายเอกสารจะได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีระบบการทำงานที่รวดเร็ว และทันสมัยขึ้นก็ตาม


แต่ เมื่อไม่นานมานี้ สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม กรมอนามัย ได้ออกมาเตือนให้ตระหนักถึงภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่ในเครื่องถ่ายเอกสาร โดยระบุว่า พิษภัยตัวแรก ที่ผู้เกี่ยวข้องอาจได้รับไปเต็มๆจากเครื่องถ่ายเอกสาร คือ โอโซน (Ozone) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการอัด และปล่อยประจุไฟฟ้าที่ลูกกลิ้งกระดาษ และบางส่วนเกิดจากการปล่อยลำแสง UV มาจากหลอดไฟฟ้าพลังงานสูงของเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งแสง UV นี้ จะทำให้ก๊าซออกซิเจนในอากาศรวมตัวกันเป็นโอโซน

ปกติโอโซนจะสลายตัว เป็นก๊าซออกซิเจน ภายใน 2-3 นาที แต่อัตราการสลายตัวของโอโซนขึ้นอยู่กับระยะเวลาการระบายอากาศ พื้นผิววัตถุที่โอโซนสัมผัส และอุณหภูมิ ซึ่งจะสลายได้เร็วขึ้นใน บริเวณที่อุณหภูมิสูง ถ่านมีประจุ หรือ Activated Carbon เป็นตัวช่วยให้โอโซนสลายตัวได้ แม้ว่าเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นใหม่มักจะมีแผ่นกรองประเภท Activated Carbon Filter ติดอยู่ เพื่อช่วยสลายโอโซนก่อนปล่อยออกภายนอกเครื่อง

แต่การ ได้รับโอโซนในระดับความเข้มข้น 0.25 ppm ขึ้นไป ต่อเนื่องยาวนาน จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก คอ วิงเวียนศีรษะ สูญเสียการรับรู้กลิ่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ไม่ควรสัมผัสโอโซน เพราะจะเกิดอันตรายต่อปอด

ภัยร้ายตัวถัดมา คือ ผงหมึก ที่อยู่ในเครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งมีทั้งแบบผงคาร์บอนดำ ผสมกับพลาสติกเรซิน ในเครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้ง และผงหมึกแบบละลายในสารปิโตรเลียม ในเครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียก

ทั้ง 2 แบบล้วนเป็นสารเคมีที่เป็นอันตราย จึงต้องระมัดระวังขณะเติมหมึก ทั้งแบบผงหมึกและแบบหมึกเหลว รวมทั้งขณะทำความสะอาด หรือกำจัดฝุ่นผงหมึกใช้แล้ว ควรทิ้งในภาชนะที่ปิดมิดชิด

ภัยตัวที่ สาม คือ สารเคมีต่างๆ เช่น เซเลเนียม แคดเมียมซัลไฟด์ ซิงค์ออกไซด์ และโพลิเมอร์ ซึ่งมักถูกเคลือบไว้ที่ลูกกลิ้งในเครื่องถ่ายเอกสาร สารเคมีเหล่านี้ระเหยออกมาได้ในระหว่างถ่ายเอกสาร

ยกตัวอย่าง เซเลเนียม หากสูดดมเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจส่วนบน ตา เยื่อเมือกกระเพาะอาหาร หากได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก หรือเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการลิ้นเฝื่อน อ่อนล้า อาหารไม่ย่อย วิงเวียนศีรษะ และยิ่งได้รับในระดับความเข้มข้นสูงจะเป็นอันตรายต่อตับและไต

แคดเมียม แม้ว่าจะถูกปล่อยออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสารในปริมาณน้อยกว่าเซเลเนียม แต่เนื่องจากแคดเมียมเป็นสารก่อมะเร็ง จึงมีอันตรายมากกว่าเซเลเนียมอีกภัยร้าย คือ รังสี UV จากหลอดไฟฟ้าพลังงานสูงในเครื่องถ่ายเอกสาร เมื่อได้รับบ่อยหรือเป็นเวลานานจะทำให้ผู้ที่มองเกิดอาการปวดศีรษะ แสบตา กระจกตาอักเสบ และเกิดผื่นคันตามผิวหนังได้

ก่อนหน้านี้ ทั้ง นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน อดีต รมว.สาธารณสุข และ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย ได้ออกมาเตือนว่า

เครื่อง ถ่ายเอกสารสามารถก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพต่อผู้ใช้งานในระยะยาว โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำหน้าที่ถ่ายเอกสาร เพราะเครื่องถ่ายเอกสารมีทั้งกลิ่นสารเคมีและแสงจากเครื่องในขณะที่ถ่าย เอกสาร จึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่ใช้งานในระยะยาว

กระทรวง สาธารณสุขจึงแนะนำว่า ผู้ใช้เครื่องถ่ายเอกสารควรรู้จักวิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัย เช่น เมื่อถ่ายเอกสารทุกครั้งควรปิดฝาครอบเครื่องถ่ายฯให้สนิท พร้อมทั้งติดตั้งพัดลมดูดอากาศไว้ในห้องถ่ายเอกสาร ควรสวมถุงมือและสวมหน้ากากกันฝุ่นเคมีทุกครั้งขณะเติมหรือเคลื่อนย้ายผงหมึก

ผงหมึกที่ใช้แล้ว หรือผงหมึกที่หกตามพื้นในขณะเติม ต้องนำไปกำจัดลงในภาชนะที่ปิดมิดชิด ควรมีการบำรุงรักษาเครื่องเป็นประจำ

ที่ สำคัญ เป็นไปได้ควรติดตั้งเครื่องถ่ายเอกสารแยกไว้ที่มุมห้อง ซึ่งไกลจากคนทำงาน ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเอกสารควรได้รับการแนะนำอบรมวิธีการใช้ ผู้ซ่อมบำรุงเครื่องถ่ายเอกสารต้องสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับลูกกลิ้งโดยตรง.

Cr.ไทยรัฐ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์


นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์
Photo : Moto 360

ทาง Google ในสหรัฐฯได้พัฒนา Android Wear อุปกรณ์สวมใส่อย่างนาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch)  ทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ท่ามกลางการพัฒนาของ Apple Watch เป็นที่น่าจับตามองของเกมการแข่งขันนี้

ทาง Google ได้เริ่มผลิต Android Wear ร่วมกับพันธมิตรหลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Asus, HTC, LG, Motorola และ Samsung แล้ว การเปิดตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Sundar Pichai หัวหน้าทีม Android ของ Google ได้เปรยออกมาแล้วว่า Google จะออกอุปกรณ์สวมใส่เวอร์ชันแอนดรอยด์ในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ไฮไลท์ของ "นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch)" ที่มีการนำเสนออกมาจะเป็นความสามารถในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวเรา ไม่ว่าจะเป็น (location) ที่เราอยู่ในขณะนั้น ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ (อัตราการเต้นของหัวใจ เครื่องวัดความดันโลหิต ฯลฯ) และการใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย (fitness) ฯลฯ โดยส่วนติดต่อผู้ใช้จะทำงานด้วยงการสั่งการด้วยเสียง (voice-based interface) ในส่วนของรายละเอียดเกี่ยวกับ นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) ที่ทาง Google ได้โพสต์ข้อมูลเบื้องต้นไว้ในบล็อกของบริษัทมีดังนี้ค่ะ

-ผู้ใช้ นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) อัจฉริยะที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android สามารถดูภาพสดจากกล้องวงจรปิดหรือ กล้อง IP Camera ของตัวเอง โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “IP Camera Viewer” ซึ่งเป็นโปรแกรมเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิด หรือ กล้อง IP Camera สำหรับสอดส่องความปลอดภัยและเหตุการณ์ต่างๆ ในบ้าน ออฟฟิศ ที่จอดรถ และสถานที่อื่นๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา   แอพพลิเคปพลิเคชันกล้อง IP Camera เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจบางประเภทและเจ้าของบ้านบางราย และเพิ่มความสะดวกมากขึ้นเมื่อตรวจสอบได้จากนาฬิกาสวมใส่ ไม่ต้องรับชมจากจอทีวีขนาดใหญ่บนผนัง  นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถทำการอัพเดทคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติมในกล้อง IP Cameraได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งไดรเวอร์เพิ่ม การปรับปรุงแก้ไขไดรเวอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการตั้งค่าให้บันทึกวิดีโอลงแหล่งเก็บข้อมูลออนไลน์ Dropbox มีทางลัดที่หน้าจอหลัก และรองรับการใช้งานกับ Chromecast ส่งหน้าจอขึ้นทีวีได้ทันที

-การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ มากที่สุด นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) จะแสดงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวผู้ใช้ และสามารถแนะนำสิ่งที่จำเป็นให้ได้อีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่คุณต้องการข้อมูลนั้น ด้วยแอพพลิเคชันชันต่างๆ บน Android ที่ทำงานร่วมกับอุปกรณ์สวมใส่ดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลอย่างเช่น โพสต์ข้อความ และอัพเดทจากแอพโซเชียลเน็ตเวิร์ก แชตด้วยแอพเมสเสจจิ้ง แจ้งเตือนเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าบริการที่คุณสนใจจากเว็บไซต์ชอปปิ้ง ข่าววสาร และภาพถ่าย จากแอพต่างๆ เป็นต้น

-เลขาส่วนตัวบนนาฬิกาข้อ มือแอนดรอยด์ (Android Watch)ที่สั่งด้วยเสียงได้เลย แค่ออกคำสั่งว่า “OK Google”  ผู้ใช้ก็จะสามารถมถามข้อมูลที่ต้องการทราบได้ทันที อย่างเช่น อะโวคาโดให้พลังงานกี่แคลอรี่ เที่ยวบินของคุณจะออกกี่โมง ผลฟุตบอล เป็นต้น นอกจากนี้ คุณยังสามารถบอกว่า “OK Google” เพื่อให้ Android Wear จัดการงานบางอย่างให้คุคณได้ เช่น เรียกแท็กซี่ ส่งข้อความ จองที่นั่งในภัตตาคาร หรือแม้แต่ตั้งนาฬิกาปลุก

-ติดตาม และดูแลสุขภาพให้คุณฟิตอยู่เสมอ ผู้ใช้สามารถตั้งเป้าการดูแลสุขภาพ ตลอดจนการออกกำลังกาย โดยมีผู้ช่วยอย่าง นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) คอยแจ้งเตือนให้คุณมีวินัยกับตัวเอง พร้อมทั้งสรุปความฟิตแอนด์เฟิร์มให้คุณทราบได้อีกด้วย แอพฟิตเนสที่คุณชื่นชอบจะสามารถแจ้่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้ทราบได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการวิ่งของคุณ ระยะทาง ตลอดจนเวลาที่ใช้ในการวิ่ง จำนวนรอบ ไปจนถึงจำนวนก้าวได้ หรืออัตราการเต้นของหัวใจและวัดความดันโลหิตได้ด้วย สุขภาพมาพร้อมกับความสนุกค่ะ

-ประตูสู่โลกหลายจอ ผู้ใช้ นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) จะสามารถเข้าถึง และควบคุมอุปกรณ์อื่นๆ จากข้อมือได้ เพียงแค่ออกคำสั่งว่า “OK Google” เพื่อเปิดเพลงที่ชื่นชอบบนมือถือ หรือเลือกดูหนังที่ต้องการบนทีวี และอื่นๆ อีกมากมาย สรุป มันก็คือ รีโมทสั่งด้วยเสียงสำหรับอุปกรณ์ฉลาด smart devices นั่นเอง

แนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) ก็คือ การทำให้ผู้ใช้ได้ทราบข้อมูลที่จำเป็น และเกี่ยวข้องกับตัวเองตลอดเวลารวมทั้งสอดส่องความปลอดภัยและเหตุการณ์ต่างๆ ในบ้าน ออฟฟิศ โดยโต้ตอบด้วยกิจกรรมต่างๆ กับข้อมูลที่ต้องการด้วยการสั่งด้วยเสียงของผู้ใช้ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของอุปกรณ์สวมใส่สายพันธุ์ Android มากขึ้น เชื่อว่า มันจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเราค่ะ

มาดูทางฝั่งของผู้ผลิตกันบ้าง นะคะ นอกจาก Google จะเริ่มผลิตอุปกรณ์ร่วมกับบริษัทไอทีชั้นนำแล้ว ทางบริษัทยังกำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิป และบริษัทแฟชั่น เพื่อทำสมาร์ทวอช หรือนาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch)อัจฉริยะ Android Wear ของ Google เองอีกด้วย ไม่ว่าจะเปิดตัวนาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) รุ่น G Watch หรือ  Moto Moto 360 smartwatch

อุปกรณ์สวมใส่เป็น แนวโน้มที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ ทางด้าน Apple ก็มีข่าวว่า ซุ่มพัฒนาสมาร์ทวอชรุ่นใหม่ ๆเหมือนกัน แต่การมี นาฬิกาข้อมือแอนดรอยด์ (Android Watch) ของ Google น่าจะสร้างความสนใจให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้มากที่สุด เพราะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ไม่ได้มาเป็นแบรนด์เดียว แต่มีผู้สนับสนุนทางด้านฮาร์ดแวร์หลายเจ้าลงมาเล่นพร้อมๆ กัน  แรงกระเพื่อมครั้งนี้จะทำให้หมวดผลิตภัณฑ์สวมใส่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่าง แน่นอน

Cr.โลกวันนี้,ครอบครัวข่าว

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

จักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน


      จักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน
 Photo : eurobike-show
      ใครว่าเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับจะจำกัดอยู่เฉพาะในรถยนต์ รถบรรทุก หรือเครื่องบิน เพราะวันนี้ค่าย CoModule ได้โชว์ผลงานการพัฒนา “จักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน” ที่สามารถควบคุมการทำงานได้ด้วยแอปในสมาร์ทโฟนกันแล้ว
     
       จักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนคันดังกล่าวเป็นผลงานรุ่นโปรโตไทป์ของค่าย coMudule บริษัทสัญชาติเยอรมัน ซึ่งได้นำมาจัดแสดงในงานมหกรรมจักรยาน Eurobike 2015 ที่เมืองฟรีดริชฮาเฟน (Friedrichshafen) ประเทศเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
     
       ความสามารถดังกล่าวมาพร้อมกับการติดตั้งเทคโนโลยีต่างๆ เช่น บลูทูธ LE, GPS รองรับการเชื่อมต่อในระบบ GSM/GPRS และยังรองรับการทำงานร่วมกับ Wearable Device ลงไปในจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน โดยตัวถังเดิมนั้นเป็นจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนของ Veleon ที่มาพร้อมมอเตอร์ยี่ห้อ Heinzmann และแบตเตอรี่ 350 Wh
     
       อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนไร้คนขับรุ่นโปรโตไทป์คันนี้มีสาม ล้อ เหตุผลหนึ่งคือ เพื่อความมั่นคง ไม่ล้มง่ายๆ แถมยังทำให้เวลาเร่งความเร็วสามารถทำได้ดีมากขึ้นด้วยเนื่องด้วยมีแบตเตอรี่สำรองในตัว
     
       การควบคุมตัวจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนสามารถกระทำผ่านแอปพลิเคชัน (แอนดรอยด์) โดยสามารถสั่งให้รถตรงไปข้างหน้าหรือหยุด และควบคุมการเลี้ยวซ้ายขวา ซึ่งทาง CoMudule ผู้พัฒนาระบุว่า หากอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบปิด รถจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนคันดังกล่าวจะสามารถเคลื่อนที่ได้เองโดย อัตโนมัติด้วยแบตเตอรี่สำรองภายใน
     
       แต่หากมองที่ความสามารถของแอปจะพบว่า มันสามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนในมือผู้ใช้ให้กลายเป็นรีโมตคอนโทรลที่สามารถควบ คุมการเคลื่อนที่ของจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนได้ดังใจ ซึ่งนี่คือจุดขายหลักของระบบเลยทีเดียว
     
       นอกจากนั้น ผู้ใช้ยังสามารถสั่งเปิด-ปิดไฟหน้า เปิด-ปิดเครื่องยนต์ได้ผ่านแอปด้วยเช่นกันหรือสั่งให้ขับเคลื่อนไปได้ด้วย ระบบแอปบนสมาร์ทโฟนแบบอัตโนมัติ
     
       แนวทางการใช้งานจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนดังกล่าวในอนาคตจึงอาจเป็นการใช้ ฟังก์ชันขับเคลื่อนอัตโนมัติเพื่อส่งจดหมาย หรือช่วยเก็บขยะในสวนสาธารณะ หรืออาจทำได้กระทั่งการให้บริการส่งสินค้าอัตโนมัติในพื้นที่ชุมชน
     
       การออกมาโชว์ผลงานจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนที่ติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ ลงไป และสามารถควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟนนี้ ถือเป็นการจุดประกายบริการอีกหลายประเภทที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ช่วยให้ผู้ผลิตจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนสานสัมพันธ์กับลูกค้าที่ซื้อ จักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนไปได้ยาวนานมากขึ้น หรือใช้เก็บข้อมูลต่างๆ ของการใช้งานจักรยานควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน ซึ่งอาจเพิ่มเป็นบริการพิเศษให้แก่ลูกค้าของบริษัทนั่นเอง

Cr.ผู้จัดการ